กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานมีจังหวัดประกาศเขตการให้ ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 41 จังหวัด รวม 286 อำเภอ 1,752 ตำบล 16,811 หมู่บ้าน นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์ภัยแล้ง สั่ง ปภ.ประสานผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบสถานการณ์น้ำ สำรวจพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจัดโซนนิ่งและกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เน้นวางแผนบริหารจัดการน้ำและแจกจ่ายน้ำให้ทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556– 17 เมษายน 2557 มีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 41 จังหวัด รวม 286 อำเภอ 1,752 ตำบล 16,811 หมู่บ้าน แยกเป็น ภาคเหนือ 13 จังหวัด ได้แก่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่ ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก นครสวรรค์ พิจิตร แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ ชัยภูมิ มหาสารคาม กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู สุรินทร์และนครราชสีมา ภาคกลาง 5 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี สระบุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ภาคตะวันออก 7 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ปราจีนบุรี ตราด ชลบุรี สมุทรปราการและสระแก้ว ภาคใต้ 7 จังหวัด ได้แก่ ตรัง สตูล กระบี่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และปัตตานี นายกรัฐมนตรีห่วงสถานการณ์ภัยแล้ง ได้มอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยบูรณาการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยสำรวจพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ประสบภัยแล้ง ตรวจสอบสถานการณ์น้ำ จัดโซนนิ่งพื้นที่ประสบภัยแล้ง และวางมาตรการช่วยเหลือให้สอดคล้อง เน้นวางแผนบริหารจัดการน้ำและแจกจ่ายน้ำทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ ใช้ประโยชน์จากน้ำทุกแหล่งให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด น้ำอุปโภคบริโภคต้องเพียงพอต่อการใช้งาน ส่วนน้ำเพื่อการเกษตรให้สำรวจพืชผลทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบ จัดโซนนิ่งพื้นที่การเกษตรทั้งในและนอกเขตชลประทาน จัดเจ้าหน้าที่ชี้แจงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ เกษตรกรจะได้วางแผนเพาะปลูกพืชได้สอดคล้องกับปริมาณน้ำในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย ให้ผลผลิตดีและมีตลาดรองรับ รวมถึงจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มเติม เพื่อป้องกันปัญหาการแย่งชิงน้ำและผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากการขาดแคลนน้ำ
นายฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า จากการประสานข้อมูลสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ พบว่า มีปริมาตรน้ำทั้งสิ้น 39,042 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 56 มีปริมาตรน้ำใช้การได้ 15,539 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 33 มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2556 ซึ่งมีปริมาตรน้ำ 37,340 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 53 จำนวน 1,702 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตาม แหล่งน้ำต้นทุนสนับสนุนลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตรน้ำกักเก็บรวม 10,230 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 35 ของความจุรวมทั้ง 4 อ่างฯ เป็นปริมาตรน้ำที่ใช้การได้ 3,534 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 22.25 ของความจุรวมทั้ง 4 อ่างฯ ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าวมีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งเกินกว่าแผนที่กำหนด โดยเฉพาะการทำนาปรัง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ จึงขอความร่วมมือประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัด เตรียมสำรองน้ำไว้อุปโภคบริโภค เกษตรกรควรวางแผนเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำและแผนการจัดสรรน้ำในพื้นที่ โดยปลูกพืชอายุสั้นที่ใช้น้ำน้อย งดเว้นการทำนาปรัง เพื่อป้องกันพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากการขาดแคลนน้ำ ท้ายนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป