กลุ่ม KTIS เคาะราคาขายหุ้นละ 10 บาท เปิดให้จองซื้อ. 21 – 23 เมษายน ศกนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 21, 2014 12:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--124 คอมมิวนิเคชั่นส นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS ผู้นำธุรกิจน้ำตาลทรายที่มีกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก 55,000 ตันอ้อยต่อวัน เปิดเผยว่าบริษัทตั้งราคาขายหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 10 บาท โดยมีบริษัท หลักทรัพย์ เคทีซีมิโก้ จำกัด เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท และมีบริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท หลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน)ร่วมจัดจำหน่าย ทั้งนี้จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21 – 23 เมษายน ศกนี้ “จำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 957,827,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 24.6 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท ปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 3,888,000,000 บาทโดยเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,274,573,000 บาท ราคาพาร์ของหุ้นอยู่ที่ 1 บาท ซึ่งเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จำนวน 9,578,270,000 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลของบริษัทฯลงทุนสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ 50 ล้านบาท ลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยสองแห่งๆ ละ 960 ล้านบาทเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ โครงการผลิตน้ำเชื่อม(liquid sucrose) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ(super refined sugar) จำนวน 980 ล้านบาท ส่วนหนึ่งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นสิงคโปร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัท 2,082.3 ล้านบาท ทั้งนี้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะอยู่ที่ 1.5 เท่า นายประพันธ์กล่าว นายประพันธ์กล่าวต่อไปว่า “ปัจจุบันกลุ่ม KTIS มีโรงงานน้ำตาลทรายรวม 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ และโรงงานน้ำตาลรวมผลฯ ซึ่งโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในโลกถึง 55,000 ตันอ้อยต่อวัน และรวมกับโรงงานรวมผลฯที่มีกำลังการผลิต 15,000 ตันอ้อยต่อวัน และโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ที่มีกำลังการผลิต 18,000 ตันอ้อยต่อวัน เท่ากับว่าโรงงานน้ำตาลของบริษัทมีกำลังการผลิต 88,000 ตันอ้อยต่อวัน นอกจากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลแล้ว กลุ่มKTIS ยังดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล และธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยชีวภาพ เป็นต้น ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำรายใหญ่ เช่น บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท คาราบาว ตะวันแดง จำกัด บริษัท แลคตาซอย จำกัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า จำกัด บริษัท โอสถสภา จำกัด เป็นต้น สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศนั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำรายใหญ่ของโลก” นายประพันธ์กล่าวเสริมว่า “กลุ่ม KTIS มีโครงสร้างรายได้หลักคือ รายได้จากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมด และรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีกำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ที่มีการรับรู้รายได้จากการขายไฟเมื่อต้นไตรมาส 4 ของปี 2556 ที่ผ่านมา และเมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว รายได้จากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลจะยังคงเป็นรายได้หลัก ขณะที่รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลดีกับบริษัทคือในกรณีที่ราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูง รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องจะเป็นส่วนเสริมให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น ขณะที่ในกรณีที่น้ำตาลในตลาดโลกราคาลดลง รายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกได้ระดับหนึ่ง” นายประพันธ์กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2556 ว่ารายได้จากการขาย และบริการ 18,052 ล้านบาท (ไม่รวมรายได้อื่น 787 ล้านบาท) รายได้รวมของกลุ่ม KTIS อยู่ที่ 18,052 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลมีสัดส่วนร้อยละ 80 ของรายได้และรายได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจเอทานอล ร้อยละ 8.6 รายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อยร้อยละ 8.3 และรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลร้อยละ 1.5 และรายได้อื่นๆ ร้อยละ 2.9 อนึ่ง กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) “กลุ่ม KTIS” ก่อตั้งโดยคุณจรูญ และคุณหทัย ศิริวิริยะกุล มีประสบการณ์ในธุรกิจอ้อยและน้ำตาลมานานกว่า 50 ปี ปัจจุบันดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาล และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างครบวงจร โดยได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 3,274,573,000 บาท เป็น 3,888,000,000 บาท เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เพื่อรองรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 3,274,573,000 บาท และในปี 2556 ที่ผ่านมาสองบริษัทยักษ์ใหญ่ คือ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น บริษัทเทรดดิ้งชั้นนำระดับโลก และนิสชิน ชูการ์ ผู้ผลิตน้ำตาลรีไฟน์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ได้เล็งเห็นศักยภาพของกลุ่ม KTIS และได้ตัดสินใจลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ในปี 2556 ที่ผ่านมา เพื่อเข้ามาถือหุ้นในกลุ่ม KTIS หลังจากที่หุ้น KTIS เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ทั้งนี้ พันธมิตรทางธุรกิจทั้งสองจะนำความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ในการเป็นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำของโลกมาเพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้า รวมถึงknowhowต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มมูลค่าและความหลากหลายให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS มากยิ่งขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ