ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท “บ. เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย” ที่ระดับ “BBB-/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 28, 2014 15:47 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB-” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB-” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดและใช้ลงทุนตามแผน อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement – PPA) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer – SPP) ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกลุ่มบริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากอัตราการก่อหนี้ในระดับสูงรวมถึงการทำรายการระหว่างบริษัทในกลุ่มและข้อจำกัดจากอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” ของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 36.2% ณ เดือนธันวาคม 2556 ด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะพัฒนาโครงการทั้งหมดโดยไม่ทำให้สถานะทางการเงินอ่อนแอลง บริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายเป็นผู้นำในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) และบริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม หลังการปรับโครงสร้างแล้ว บริษัทถือเป็นบริษัทหลักในธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มดั๊บเบิ้ล เอ ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าชีวมวลและถ่านหินรวม 9 โรง ภายใต้โครงการ SPP ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 493 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 1,180 ตันต่อชั่วโมง โรงไฟฟ้าของบริษัทตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา นอกจากธุรกิจไฟฟ้าแล้ว บริษัทขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานและธุรกิจสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างแหล่งเชื้อเพลิงและเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า โดยบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจเอทานอลจากมันสำปะหลังขนาดกำลังการผลิต 500,000 ลิตรต่อวันและลงทุนในธุรกิจน้ำมันรำข้าว นอกจากนี้ยังได้ลงทุนในธุรกิจสนับสนุนการปลูกต้นยูคาลิปตัส (ต้นพลังงาน) ธุรกิจวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และยังได้ลงทุนซื้อสิทธิในการทำเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย บริษัทยังมีธุรกิจให้บริการขนส่งถ่านหินและชีวมวลรวมถึงธุรกิจทุ่นขนถ่ายสินค้ากลางทะเล อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไฟฟ้ายังเป็นแหล่งรายได้และแหล่งกำไรหลักของบริษัท โดยในปี 2556 88% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มาจากธุรกิจไฟฟ้า ในขณะที่ 12% มาจากธุรกิจอื่น บริษัทมีสัญญา PPA อายุ 25 ปีกับ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 62% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของบริษัท บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำส่วนที่เหลือภายใต้สัญญาระยะยาวให้แก่กลุ่มดั๊บเบิ้ล เอ และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราด้วย โรงไฟฟ้าของบริษัทได้รับการออกแบบให้ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินและชีวมวล แม้การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลจะมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าชีวมวลก็ต้องการการบำรุงรักษามากกว่าและมีความเสี่ยงจากการสึกหรอของเครื่องจักรอุปกรณ์ในอัตราที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินหรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง การดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2556 แม้โรงไฟฟ้าโรงใหญ่ 1 โรงของบริษัทมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ระดับความพร้อมจ่ายเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2556 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 86.0% จาก 83.3% ในปี 2555 ในขณะที่อัตราการหยุดซ่อมฉุกเฉินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.0% เทียบกับ 3.7%-5.3% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทได้เสร็จสิ้นการปรับปรุงหม้อไอน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง และยังคงใช้ระบบจัดเก็บและจัดเตรียมเชื้อเพลิงเพื่อลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและกำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 บริษัทรายงานกำไรสุทธิจำนวน 1,458 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 16.1% จาก 1,255 ล้านบาทในปี 2555 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายปรับตัวดีขึ้นเป็น 29.9% ในปี 2556 จาก 27.6% ในปี 2555 อัตรากำไรที่ดีขึ้นเป็นผลจากราคาขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินลดลงในปี 2556 โดยดัชนีถ่านหินอ้างอิง JPU (Japanese Power Utility Index) ลดลงจาก 129.33 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2554 เป็น 110.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2555 และ 94.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2556 นอกจากนี้ หลังจากการปรับปรุงหม้อไอน้ำบริษัทสามารถใช้ถ่านหินที่มีค่าความร้อนต่ำกว่ามาทดแทนถ่านหินที่มีค่าความร้อนสูงบางส่วนเพื่อลดต้นทุน และบริษัทยังได้เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอื่นที่มีราคาต่ำกว่ามากขึ้น EBITDA ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 33% เป็น 3,392 ล้านบาทในปี 2555 และเพิ่มขึ้น 16% เป็น 3,944 ล้านบาทในปี 2556 อย่างไรก็ดี โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 64.4% ในปี 2556 จาก 51.9% ในปี 2554 เงินกู้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 16,771 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 จาก 11,967 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากการลงทุนของโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการลงทุนใหม่ ๆ ระหว่างปี นอกจากนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลรวมจำนวน 4,900 ล้านบาทในปี 2555 และปี 2556 เมื่อต้นปี 2556 บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย ไอพีพี จำกัด (NPSIPP) และ บริษัท ไฟฟ้าชีวมวล จำกัด (BECO) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NPS ได้โอนโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าให้กับ บริษัท ไอพีพีไอพี 2 จำกัด และ บริษัท เอ็นพีเอส พีพี 9 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีก 2 แห่งของบริษัท ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 บริษัทได้ขายหุ้น NPSIPP และ BECO ให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกันในกลุ่มดั๊บเบิ้ล เอในราคา 2,382 ล้านบาทซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงกับราคาทุนของบริษัทในวันที่ทำการขายหุ้น บริษัทยังได้วางแผนจะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 3 โรงในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 360 เมกะวัตต์ บริษัทวางแผนการลงทุนดังกล่าวเนื่องจากที่ดินของบริษัทอยู่ใกล้กับท่อก๊าซเส้นที่ 4 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปี 2556 บริษัทย่อยของบริษัทจึงได้ซื้อที่ดินรวมจำนวน 288 ไร่จากบริษัทที่เกี่ยวข้อง กัน 3 แห่งเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ บริษัทตกลงจะซื้อที่ดินในราคารวม 624 ล้านบาทและได้จ่ายเงินมัดจำรวมจำนวน 605 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 เงินมัดจำจ่ายเพื่อซื้อที่ดินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันมีมูลค่า 1,786 ล้านบาท จากมูลค่า 1,615 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 ความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจในปี 2557 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ยังอยู่ระดับต่ำ โดยต้นทุนถ่านหินคิดเป็นประมาณ 30% ของต้นทุนผลิตไฟฟ้าของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรรวมของบริษัทอาจถูกกดดันจากธุรกิจผลิตเอทานอล ซึ่งมีผลการดำเนินงานขาดทุนก่อนรวมค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่ายเป็นจำนวน 167 ล้านบาท ในช่วงเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2556 ปัจจุบันบริษัท อี 85 จำกัดซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจเอทานอลอยู่ระหว่างการขอผ่อนผันการผิดข้อกำหนดทางการเงินกับสถาบันการเงิน อัตราส่วนหนี้เงินกู้ต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงจากแผนการลงทุนขยายธุรกิจที่มีอยู่ บริษัทวางงบลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งประกอบด้วย การก่อสร้างโรงไฟฟ้าซึ่งใช้เชื้อเพลิงชีวมวล 2 แห่ง และการก่อสร้างโรงงานเอทานอลอีก 1 สายการผลิต โรงไฟฟ้า 2 แห่งนี้ จะเปิดดำเนินการในปี 2557-2558 สำหรับงบลงทุนในปี 2558 บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนลงเหลือ 600 ล้านบาท เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer -- IPP) ของบริษัทจะล่าช้าออกไป 2-3 ปี ในขณะที่บริษัทกำลังวางแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซอีก 3 แห่งรวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 360 เมกะวัตต์ในอนาคต บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายจำกัด (มหาชน) (NPS) อันดับเครดิตองค์กร: BBB อันดับเครดิตตราสารหนี้: NPS145A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB- NPS156A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB- NPS171A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,718 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB- หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2562 BBB- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ