กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้
บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ (GOLD) เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจตามแผนบันไดทอง 3 ขั้น เพื่อพลิกฟื้นโกลเด้นแลนด์ขึ้นเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการเชิงพาณิชย์ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมทั้งเปิดเผยแผนการขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Core Assets) เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการเงิน โดยตั้งเป้าขายหมดภายในไตรมาสปี 57 สร้างเงินทุนในการพัฒนาโครงการในอนาคตกว่า 2,400 ล้านบาท
ตามที่บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นบริษัทฯ หรือบันไดทอง 3 ขั้นนั้น ในปีนี้ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งการสร้างคุณค่า (Unlocking Value) โดยการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อการสร้าง และเพิ่มคุณค่าของสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่า และผลตอบแทนสูงสุด โดยบริษัทฯ ได้จัดสรรสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กับบริษัทฯ ซึ่งประกอบไปด้วย
1.ที่ดินบนถนนรามคำแหง ซึ่งได้รับการอนุมัติจำหน่ายจากมติประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีที่ผ่านมาด้วยราคาขาย 980 ล้านบาท
2.ที่ดินพานอรามา กอล์ฟคลับ ตั้งอยู่ที่อำเภอสีคิ้ว นครราชสีมา ขนาด 2,100 ไร่ ราคาประมาณ 800 ล้านบาท
3.ที่ดินชายทะเล อำเภอเมือง กระบี่ ขนาด 118 ไร่ ราคาประมาณ 250 ล้านบาท
4.ที่ดินอำเภอทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ ขนาด 213 ไร่ ราคาประมาณ 150 ล้านบาท
5.ที่ดินบ้านฉาง ระยอง ขนาด 87 ไร่ ราคาประมาณ 150 ล้านบาท
6.ที่ดินอำเภอเมือง และอำเภอเชียงของ เชียงราย ขนาด 154 ไร่ ราคาประมาณ 200 ล้านบาท
โดยรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,400 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการซื้อขายแล้วประมาณ 1,155 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ดินรามคำแหง 980 ล้านบาท และที่ดินเชียงรายบางส่วนประมาณ 175 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของแผนการขาย ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถขายหมดภายในไตรมาส 3-4 ของปี 57
โดยเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์นี้ บริษัทฯ จะนำไปชำระหนี้ และลงทุนเพื่อซื้อที่ดินเตรียมพัฒนาโครงการแนวราบปี 2558-2560 ทั้งยังใช้ลงทุนในโครงการเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ บริเวณถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นโครงการอาคารสำนักงาน และโรงแรม มูลค่า 5,000 ล้านบาท
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า “ในภาวะตลาดทรงตัว และสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่นิ่งเช่นนี้ การเก็บที่ดินโดยไม่พัฒนา (Land Bank) ไว้เป็นความเสี่ยงกับบริษัทฯ อีกทั้งที่ดินทั้งหมดของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งไม่ตรงกับแผนการดำเนินธุรกิจที่เจาะตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประกอบกับบริษัทยังคงมีภาระหนี้จำนวนมาก การขายสินทรัพย์ตามแผนนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการตามเป้าในการขึ้นเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท็อปเท็นของประเทศไทยให้ได้ภายใน 5 ปี