ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 17

ข่าวทั่วไป Tuesday May 6, 2014 11:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 พ.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 17(ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting)ณ กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 เห็นพ้องว่าเศรษฐกิจอาเซียน+3 ดีขึ้นเนื่องจากได้อานิสงส์จากการส่งออก และเน้นเสริมสร้างกลไกป้องกันการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโดยการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO)” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 17 (ASEAN+3 Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2557ณ กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นก่อนการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 47 โดยมีนายยู วิน เชน (U Win Shein) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหภาพเมียนมาร์ และนายทาโร อาโซะ (Taro Aso) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น เป็นประธานร่วมการประชุม ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ที่ประชุมได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและเศรษฐกิจของแต่ละประเทศสมาชิก โดยนายโยอิชิ เนโมโตะ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน+3 ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2556 อย่างไรก็ตาม ในต้นปี 2557 เศรษฐกิจของบางประเทศมีอัตราการขยายตัวที่แผ่วลงไปบ้าง โดยเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกในปี 2557 จะพึ่งพาการส่งออกมากขึ้นจากการที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแรงลงและเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ตลอดจนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ในขณะที่นายทาเกฮิโกะ นากาโอะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เห็นว่า ในระยะสั้นเศรษฐกิจในภูมิภาคอาจมีความเสี่ยงจากการปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE Tapering) ของสหรัฐฯ และการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น ส่วนในระยะปานกลางเห็นว่า ทุกประเทศสมาชิกควรจะ (1) ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่เหมาะสม (2) ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคที่มีความยืดหยุ่น (3) มีการกำกับดูแลภาคการเงินที่เข้มแข็ง (4) ให้ความสำคัญกับโครงข่ายความปลอดภัยทางการเงินของภูมิภาค (Regional Financial Safety Net) และ (5) ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ (Inequality Reduction) ผ่านการใช้เครื่องมือทางการคลัง ในส่วนของประเทศไทยนั้น นายกิตติรัตน์ฯ ได้กล่าวถึงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ผ่านมาว่า ภายหลังจากสถานการณ์มหาอุทกภัย ประเทศไทยได้กลับมาขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงที่ร้อยละ 6.5 อีกครั้งในปี 2555 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556 และในไตรมาสแรกของปี 2557 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีความเชื่อมั่นว่า หากการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลจะสามารถดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางเพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง 2. ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของกลไกความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างกันของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน+3 หรือมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) โดยเฉพาะความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมของกลไกในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของ CMIM และการจัดทำรายละเอียดแนวทางปฏิบัติเมื่อประเทศสมาชิกต้องการรับความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าสมาชิกจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างทันท่วงทีเมื่อมีแนวโน้มว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นควรให้อาเซียน+3 เสริมสร้างความร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ CMIM และพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินงานของ AMRO 3. ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบการต่ออายุการดำรงตำแหน่งของนายโยอิชิ เนโมโตะ ผู้อำนวยการ AMRO ซึ่งจะครบวาระในเดือนพฤษภาคมนี้ไปอีก 2 ปี (จนถึงปี 2559) และขอให้ AMRO เร่งพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งได้เน้นย้ำให้ AMRO พัฒนาคุณภาพของรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องมีการวิเคราะห์ ความเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคและของประเทศสมาชิก และให้ข้อเสนอแนะด้านนโยบายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ อาเซียน+3 จะร่วมกันดำเนินการเร่งรัดการยกระดับ AMRO ให้เป็นองค์การระหว่างประเทศโดยเร็ว 4. ที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 ให้มีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแหล่งระดมเงินทุนและเป็นทางเลือกในการออมของภูมิภาค โดยมีความคืบหน้าหลัก ได้แก่ 1) การเพิ่มขีดความสามารถในการค้ำประกันการออกตราสารหนี้ของกลไกการค้ำประกันเครดิตและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน+3 (Credit Guarantee and Investment Facility: CGIF) จาก 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ CGIF สามารถให้บริการค้ำประกันการออกตราสารหนี้ของภาคเอกชนของอาเซียน+3 ได้มากยิ่งขึ้น และ 2) ความสำเร็จในการจัดตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยเพื่อประสานกฎเกณฑ์การออกตราสารหนี้เงินสกุลท้องถิ่นของภูมิภาคอาเซียน+3 โดยขณะนี้ มีสมาชิกเข้าร่วมได้แก่ ญี่ปุ่น ไทย เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยการหารือในลักษณะกลุ่มย่อยนี้จะทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 สามารถประสานกฎเกณฑ์การออกตราสารหนี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 5. การประชุม AFMGM+3 ครั้งต่อไปในปี 2558 จะจัดขึ้น ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมีประเทศมาเลเซียและเกาหลีใต้ ทำหน้าที่เป็นประธานร่วม สำนักการเงินการคลังอาเซียน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3619

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ