กรุงเทพฯ--6 พ.ค.--ศศินทร์
โรงพยาบาลกรุงเทพยืนยันพร้อมแข่งขันในตลาดสุขภาพหลังเปิดเสรีอาเซียน ย้ำไทยได้เปรียบด้านบริการและเทคโนโลยีทางการแพทย์เทียบเท่าต่างชาติ
เครือโรงพยาบาลกรุงเทพพร้อมรับมือแข่งขันตลาดสุขภาพ หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งเรื่องบริการและบุคลากร ย้ำโรงพยาบาลได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และบริการที่ครบวงจร เผยมีความทันสมัย รวมทั้งเครือข่ายการรักษาใหญ่ที่สุดในเอเชียและมีมูลค่าทางการตลาดติดอันดับ 4 ของโลก ห่วงปัญหาบุคลากรไหลออกเพราะค่าจ้างแพงกว่า
แพทย์หญิงบุญธิดา เจริญสวัสดิ์ Hospitality Division Director และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลกรุงเทพ ศิษย์เก่าสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ AEC ว่าโรงพยาบาลไทยมีคุณภาพการรักษาพยาบาลที่ดี ได้เปรียบชาติอื่นๆเรื่องการบริการ ค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่มาตรฐานการรักษาพยาบาลและเทคโนโลยีเทียบเท่าชาติตะวันตก และสำหรับโรงพยาบาลกรุงเทพ มีความพร้อมสำหรับตลาดต่างชาติมานานแล้ว โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 35 รพ. และจะขยายเป็น 50 รพ.ในปีหน้า นอกจากนี้มี Market Capitalization หรือมูลค่าทางการตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับเครือรพ.อื่นในโลก ทางรพ.มีระบบครบวงจรเพื่อบริการผู้ป่วยจากต่างประเทศ ตั้งแต่เริ่มมี การติดต่อสอบถามเพื่อปรึกษา จะมีการประสานงานดูแลการเดินทางเพื่อมารักษาพยาบาลที่ประเทศไทย เมื่อมาถึงที่รพ. ผู้ป่วยต่างชาติมีศูนย์เพื่อให้บริการเป็นสัดส่วนในชาติที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก เช่น ญี่ปุ่น อาหรับ พม่า ทางรพ.มีเคาน์เตอร์เพื่อการให้บริการที่เหมาะกับความต้องการและวัฒนธรรมของชาตินั้นๆโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสถานที่จนถึงจัดหาบุคลากร เช่นศูนย์บริการผู้ป่วยพม่ามีแพทย์ชาวพม่าคอยช่วยประสานงานและตอบปัญหาต่างๆประจำอยู่ด้วยในส่วนสนับสนุนเรามีบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ป่วย เช่น การแปลภาษา หากผู้ป่วยไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษ การประสานงานกับบริษัทประกันต่างประเทศ แผนกConciergeเพื่อดูแลการเดินทาง รถรับส่งและVisa รวมถึงการจัดงานสำคัญตามเทศกาลนานาชาติ เป็นต้น ปัจจุบันมีทีมเจ้าหน้าที่สำหรับการให้บริการ ที่อยู่ในความรับผิดชอบประมาณ 200 คน เราฝึกอบรมเพื่อดูแลคนไข้ให้ได้รับความสะดวก และ เกิดความรวดเร็วในการประสานงาน ต่าง ๆ ที่ผ่านมาพบว่าคนไข้พึงพอใจกับบริการนี้มาก
เนื่องจากค้นพบตัวเองว่าถนัดทำงานหลายอย่างๆแต่ยังรักการเป็นแพทย์และการทำงานในโรงพยาบาล จึงเปลี่ยนมาทำงานด้านบริหารโรงพยาบาลแทน ได้ใช้ความรู้เพื่อการดูแลคนไข้เช่นเดียวกัน หน้าที่ปัจจุบันในความรับผิดชอบมี 2 ส่วนคือ ส่วนแรกฝ่ายสนับสนุน(non-clinical support)เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าและประชาสัมพันธ์รวมถึงการดูแลผู้ป่วยระดับ VVIP ส่วนนี้เราให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าจึงสร้างทีมเพื่อการบริการอย่างครบวงจร เช่น ในปัจจุบันลูกค้าของโรงพยาบาลมีสัดส่วนเป็นคนไทยประมาณ 70% และต่างชาติประมาณ 30% เราจึงมีบริการแปลภาษา ถึง 28 ภาษา เช่น ญี่ปุ่น อาหรับ เยอรมัน จีน เอธิโอเปีย รวมถึงรัสเซีย บังคลาเทศ ฯลฯ ส่วนที่สองในความดูแลคือศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ เป็นการบริหารภาพรวมทั้งหมดของศูนย์ เช่น เรื่องรายได้ การตลาด การทำงานประจำวัน จนถึงส่วนบุคลากร โดยทั้งสองส่วนได้นำความรู้ด้านการแพทย์และการบริหารมาใช้ร่วมกันได้เป็นอย่างดี และการตัดสินใจศึกษาต่อทางด้าน MBA ที่ศศินทร์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ครอบคลุม การศึกษาที่ศศินทร์ปูพื้นฐานและทำให้เข้าใจมุมมองทางการบริหาร และนำมาใช้ได้จริงไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการทำงาน การริเริ่มและนำเสนอโครงการ การบริหารการตลาด การบริการลูกค้า การบริหารงานบุคลากร รวมไปถึงโอกาสทางด้านการตลาด จึงทำให้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้น ที่สำคัญการเรียนที่ศศินทร์ช่วยให้วิเคราะห์ปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ต่างๆในการทำงานได้ดี
สำหรับการแข่งขันนั้น แพทย์หญิงบุญธิดา มีความเห็นว่า การเปิด AEC ซึ่งทำให้ธุรกิจระหว่างชาติเสรีมากขึ้นอาจจะไม่มีผลกระทบกับธุรกิจรพ. มากนัก การที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจรพ.เอง เป็นเรื่องไม่ง่าย เนื่องจากรพ.ของคนไทยครอบคลุมตลาดของประเทศไว้เป็นอย่างดี ในส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต่างชาติที่จะโยกย้ายเข้ามาทำงานในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน เพราะการทำงานด้านวิชาชีพมีข้อกฎหมายบังคับหลายอย่าง เช่น การสอบใบประกอบวิชาชีพซึ่งแพทย์ต้องสามารถพูด เข้าใจ และเขียนภาษาไทยเพื่อทำการสอบได้ แต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไหลออกนอกประเทศเพราะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า แต่คาดว่าคงเป็นจำนวนน้อยเนื่องจากติดขัดข้อจำกัดด้านกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่นเดียวกัน