MovieGodzilla

ข่าวบันเทิง Thursday May 8, 2014 14:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--MMM Digital Asset ภาพยนตร์เรื่อง “Godzilla” ถ่ายทอดเรื่องราวที่รู้จักกันในหลายทวีปและยาวนานหลายทศวรรษ มีการติดตามความลึกลับและเหตุการณ์หายนะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านมุมมองของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหว “หนังของเราไม่ได้เล่าเรื่องจากมุมของผู้ที่มีอำนาจเหมือนพระเจ้า” ทุลอธิบาย “ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นยังมีผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่มีซูเปอร์ฮีโร่แต่มีเพียงมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย การคัดตัวนักแสดงจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับหนังของเรา” จากความรู้สึกนี้เอ็ดเวิร์ดสต้องการให้ภาพยนตร์มีนักแสดงที่สามารถถ่ายทอดความสมจริงของตัวละครในช่วงเวลาที่ไม่ธรรมดาออกมาได้ “ในภาพยนตร์แนวนี้คุณมีโอกาสเดียวซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ของโลก” เขากล่าว “ส่วนอื่นๆ ก็ต้องดูน่าเชื่อถือมากที่สุด นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมรู้สึกโชคดีมากเรื่องนักแสดงกลุ่มนี้พวกเขาสามารถแสดงออกมาได้ตรงตามบท ทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวา และช่วยทำให้ทุกอย่างมีความรู้สึกที่สมจริง” นักแสดงต้องมารวมตัวกับไอคอนแห่งภาพยนตร์และจินตนาการของเอ็ดเวิร์สในภาพยนตร์เรื่อง “Godzilla” ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ด้วยภาพที่น่าตื่นเต้น “ตอนที่แกเร็ธกับผมคุยกันเรื่องภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เขาบอกให้ผมลืมไปเลยว่ามันเป็นหนังสัตว์ประหลาดฟอร์มยักษ์” อารอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน เล่าถึงช่วงนั้นให้ฟัง “ผมชอบมากที่ก็อดซิลล่ามีความหมายต่อเขาขนาดไหน เขาอยากนำก็อดซิลล่าสู่จอภาพยนตร์พร้อมภาพของหายนะครั้งยิ่งใหญ่ แต่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ดูงดงามและมีความเร้าใจมากที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ผมอยากร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ และแกเร็ธก็สสร้างประสบการณ์อันน่าเหลือเชื่อขึ้นมา” นักแสดงชายต้องมารับบทสำคัญอย่าง ฟอร์ด โบรดี้ ทหารเรือผู้ชำนาญด้านการกู้ระเบิดเป็นพิเศษ เขาเพิ่งได้กลับมาเจอภรรยาและลูกชายของเขาที่ซานฟรานซิสโก หลังจากที่เขาถูกเรียกตัวเพื่อไปช่วยแก้วิกฤติใหญ่ที่ญี่ปุ่น “ฟอร์ดเป็นฮีโร่ในหนังของเราและเขาได้พบเห็นอะไรหลายอย่าง” เอ็ดเวิร์ดสกล่าว “และเนื่องจากการเล่าเรื่องราวมากมายต้องอาศัยภาพ จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นมากที่เราต้องเข้าใจว่าเขาคิดและรู้สึกยังไง เราเลยต้องการนักแสดงที่สามารถสื่อสารผ่านบุคลิกท่าทางได้หลายอย่าง ผมเคยดูเรื่อง ‘Nowhere Boy’ ที่อารอนรับบทเป็นจอห์น เล็นนอน ซึ่งเป็นการแสดงที่กินใจมาก มีความมุ่งมั่นและความรู้สึกหลายอย่างซ่อนอยู่ในแววตาของเขา ตอนนั้นผมรู้เลยว่าเราต้องเอาตัวเขามาให้ได้” ความชำนาญของฟอร์ดด้านการกู้ระเบิดทำให้เขาต้องเป็นด่านหน้าเมื่อมนุษยชาติรวมตัวกัน เขาต้องต่อสู้กับภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยพบ แต่เขาต้องใช้ชีวิตสวนทางกันระหว่างภาระหน้าที่กับการค้นหาและปกป้องครอบครัวน้อยๆ ของเขา “เขาเป็นผู้ชำนาญในกองทัพที่ต้องการตัวและต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า” เทย์เลอร์-จอห์นสันอธิบาย “ขณะเดียวกันภารกิจของเขาคือการกลับไปหาครอบครัว ภารกิจทางการทหารเป็นหนทางเดียวที่เขาจะย้ายตัวเองไปอยู่ใกล้ซานฟรานซิสโกมากขึ้นได้ แต่มันกลับเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองอาจไม่มีชีวิตกลับบ้าน” ผู้ที่ติดอยู่ในเมืองตอนที่ก็อดซิลล่า Godzilla zeroes ที่ซานฟรานซิสโกคือ แอล โบรดี้ ภรรยาของฟอร์ดที่รับบทโดย เอลิซาเบ็ธ โอลเซน เธอเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลที่เกิดความโกลาหล แอลต้องรับภาระหนักทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตและปกป้องลูกชายวัย 4 ขวบของเธอที่รับบทโดยนักแสดงหน้าใหม่อย่างคาร์สัน โบลด์ “เรื่องราวของแอลเรียกว่าเป็นความกล้าหาญ เพราะเธอมีหน้าที่ที่ต้องทำแต่ก็ปกป้องลูกตัวเองอย่างเต็มที่ด้วย” โอลเซนเล่ารายละเอียดว่า “เรื่องราวของพวกเขาและการเดินทางของฟอร์ดที่พยายามหาทางกลับไปหาครอบครัวเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากในหนังเรื่องนี้ มีการให้ความสำคัญกับครอบครัวและแสดงให้เห็นว่าทุกคนจะเอาความกล้าหาญที่อยู่ในตัวมาใช้ในช่วงเวลาวิกฤติอย่างไร” สำหรับเอ็ดเวิร์ดส ความรู้สึกของเธอกับเนื้อหาที่สะเทือนใจทำให้เธอกระตือรือร้นอยากศึกษาบทนี้ "เอลิซาเบ็ธมีสไตล์ของผู้ให้ข้อมูลข่าวสารอยู่ในการแสดงของเธอ ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าเป็นการแสดง สำหรับเธอแล้วมันเหมือนกับมีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้นและมีสัตว์ประหลาดยักษ์อยู่ในเหตุการณ์ " โอลเซนสัมผัสได้ถึงความสมจริงที่เอ็ดเวิร์ดสอยากนำเสนอในภาพยนตร์เมื่อตอนที่เธอเห็นทีเซอร์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา “ผลงานของแกเร็ธคือสิ่งที่ได้ใจฉันไป มันมีการสะท้อนถึงภาพโศกนาฎกรรมต่างๆ ทั่วโลกที่เราเคยเห็น” เธอกล่าว “สิ่งที่แอลต้องรับมือในหนังเรื่องนี้มันจะเหมือนกับคนที่ต้องพบเหตุการณ์ต่างๆ และต้องต่อสู้กับระยะทางเพื่อไปปกป้องคนที่เรารัก” แรงผลักดันแบบเดียวกันนี้เองที่ผลักดันฟอร์ดตลอดการเดินทางของเขา เทย์เลอร์-จอห์นสันยอมรับว่าท่ามกลางฉากแอ็คชั่นสุดยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์ บทบาทการแสดงทางร่างกายก็ต้องแพ้ให้กับความท้าทายเรื่องอารมณ์ที่ตัวละครของเขาต้องรู้สึก “ฟอร์ดถูกทดสอบอย่างจริงจังในหนังตลอดทั้งเรื่อง ทั้งจากภายในและภายนอก” เขากล่าว “ครั้งแรกที่เราพบเขา เขาอยู่ในร่างของสามี คุณพ่อ และลูกชายที่พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้องเหมาะสมภายใต้ความรู้สึกที่ตึงเครียด เขามีปัญหาที่แก้ไม่ตกเรื่องพ่อของเขา และเขาพยามยามสานสัมพันธ์ที่เขาต้องจากบ้านมาไกลในยามที่ครอบครัวต้องการเขามากที่สุด” ฟอร์ดมีบาดแผลบางอย่างจากวัยเด็กที่ตัดขาดเขากับครอบครัวไปเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ญี่ปุ่น แต่เหตุการณ์ต่างๆ กำลังนำไปสู่วันที่แสนโหดร้ายเมื่อปี 1999 ซึ่งเกิดขึ้นที่ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ เหมืองแร่ที่อยู่ห่างไกลในป่าที่ฟิลิปปินส์ทรุดตัวลง ทำให้เห็นซากของเก่าที่อยู่ด้านใน มีกัมมันตภาพรังสีขนาดสูงของบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่มาก นักวิทยาศาสตร์คู่หนึ่งจากองค์กรรัฐบาลลับคือ ดร.อิชิโร่ เซริซาวะ และ ดร.วิเวียน กราแฮม เดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบสิ่งประหลาด เค็น วาตานาเบ้ รับบทเป็นเซริซาวะ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นผู้อุทิศชีวิตเพื่อค้นหาก็อดซิลล่า และหวังว่าจะพบในอุโมงค์พิสูจน์หลักฐานของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่มีอยู่ “ภารกิจของเขาเจาะลึกมากกว่าความอยากรู้อยากเห็นของนักวิทยาศาสตร์” วาตานาเบ้อธิบาย “เขากังวลเรื่องความรุนแรงที่อาจหลงเหลืออยู่ในโลก รวมถึงทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เพชฌฆาตแถวหน้า’ และอิทธิพลของมันที่มีต่อโลก” ต้นกำเนิดของก็อดซิลล่าในภาพยนตร์จะเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนเซริซาวะที่มีสมญานามและได้แรงบันดาลใจจากตัวละครสำคัญในภาพยนตร์ต้นฉบับของชาวญี่ปุ่น “ดร.เซริซาวะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจเรื่องสัตว์ประหลาดอย่างลึกซึ้ง และเค็นก็ถ่ายทอดความรู้สึกที่ซับซ้อนและลึกซึ้งลงไปในตัวละครนี้ได้” เอ็ดเวิร์ดสกล่าว “เราเคยแซวกันตอนถ่ายหนังว่าไม่มีใครดูแปลกตาไปมากกว่าเค็นแล้ว เขาเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์เวลาที่ดู เพราะเราจะอ่านความรู้สึกเขาออกจากสีหน้า ตอนที่เราถ่ายทำเขาจะแสดงท่าทางอย่างอื่น ถอนหายใจ หรือเดินออกไปจากห้องแล้วเราก็จะพูดว่า 'ไม่นะ อย่าหยุด อย่าหยุด' การแสดงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่อยากจะตะโกนคำว่า 'คัท' ออกมา" วาตานาเบ้ให้ความเห็นต่อความต้องการของเอ็ดเวิร์ดสทที่อยากสานสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผลงานต้นฉบับในสภาพแวดล้อมของโลกปัจจุบัน “ผมรู้สึกว่าที่ประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลกต่างพบกับอุปสรรคที่คล้ายกันในทุกวันนี้ เพราะเราอยู่ในยุคที่ภาพยนตร์เรื่องแรกถูกสร้างขึ้นมา” วาตานาเบ้กล่าว “ก็อดซิลล่าไม่สามารถแยกกับชิ้นส่วนพลังงานนิวเคลียร์ได้ และมันเตือนให้เราคำนึงถึงเรื่องอนาคตและคิดว่าเราอยากให้โลกเป็นแบบไหน ตอนที่ผมอ่านบทภาพยนตร์ ผมรู้สึกประทับใจที่หนังของแกเร็ธยังมีการเชื่อมโยงระหว่างก็อดซิลล่ากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมพลังอำนาจที่เรายากจะเข้าใจได้” แซลลี่ ฮอว์คินส์ ผู้รับบท ดร.กราแฮม ผู้ร่วมงานของเซริซาวะเล่าว่าความหลงใหลในโปรเจ็กต์ของเอ็ดเวิร์ดสแสดงให้เห็นในความริเริ่มสร้างสรรค์ทุกอย่างที่อยู่ในฉาก “เขาต้องต่อสู้กับอะไรหลายอย่าง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในตัวนักแสดงและเรื่องราวมาก เขาย้ำเสมอว่าอยากรักษาใจความสำคัญและข้อมูลจริงในเรื่องเอาไว้” ฉากทั้งหมดของเธอเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปพร้อมกับวาตานาเบ้ โดยทั้งคู่ต้องผูกมิตรกันอย่างกระทันหัน “กราแฮมและเซริซาวะต้องเดินทางร่วมกันครั้งนี้ เพราะมันคือชีวิตการทำงานของทั้งคู่” ฮอว์คินส์เล่าให้ฟังว่า “ตอนที่เราพบพวกเขา เราจะเห็นว่าเหมือนพวกเขาส่งกระแสจิตคุยกันได้เลย ผมคิดว่าเค็นเป็นคนที่เก่งมาก ทั้งบุคลิกท่าทางของเขาและการทำงานร่วมกับเขาเพื่อถ่ายทอดมิตรภาพระหว่างพวกเขาเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจริง” เมื่อกราแฮมและเซริซาวะลงไปในหุบเขาลึกขึ้น พวกเขาได้พบกับระบบถ้ำที่ครั้งหนึ่งเคยห่อหุ้มซากสัตว์ประหลาดยักษ์เอาไว้ แต่ก็มีอย่างอื่นด้วย จนท้ายที่สุดพวกเขาต้องช็อคเมื่อพบว่าหุบเขานั้นระเบิดจากด้านใน ทำให้เกิดช่องที่เป็นทางสู่ป่าและทะลุตรงไปยังมหาสมุทรได้ จากทางตอนเหนือสู่ทะเลจีนฝั่งตะวันออก เกิดการสั่นสะเทือนของหินที่โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์จันจิระใกล้กับเขตโตเกียวที่ ฟอร์ด ซึ่งรับบทตอนเด็กโดย ดีเจ อดัมส์ อาศัยอยู่กับแซนดร้าและโจ โบรดี้ พ่อแม่ของเขาที่รับบทโดยจูเลียต บินอช และ ไบรอัน แครนสตัน เมื่อปี 1999 ทั้งคู่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในโรงปฏิกรณ์ และช่วงเช้าหลังจากเกิดการสั่นสะเทือน พ่อของเขาเป็นคนแรกที่กดสัญญาณเตือน แครนสตันเล่ารายละเอียดว่า “โจเป็นวิศวกรนิวเคลียร์และปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เขาทำการตรวจสอบคลื่นเสียงที่ผิดปกติจากการสั่นสะเทือนที่คนอื่นพยายามจดบันทึกว่าเป็นเพียงแผ่นดินไหว แต่ข้อมูลของเขาไม่สนับสนุนข้อสรุปนั้น เขารู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่และต้องการปิดโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์แต่กลับไม่มีใครฟัง กว่าพวกเขาจะตัดสินใจปิดได้ก็สายไปแล้ว เขาเป็นคนที่แตกตื่นในทางที่ดีตามที่ควรจะเป็น และเจ้าตัวการที่ก่อปัญหานั้นได้ตามหลอกหลอนเขามาถึงทุกวันนี้” แม้ว่าแครนสตันจะเป็นที่รู้จักดีจากการรับบทวอลเตอร์ ไวท์ ที่มีชีวิตน่าตื่นเต้นและโศกเศร้าจากภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง “Breaking Bad” เอ็ดเวิร์ดสกลับจำเขาได้จากบทคุณพ่อในซีรี่ส์เรื่อง “Malcolm in the Middle” และนึกภาพเขามารับบท โจ ตั้งแต่แรกเริ่ม “ผมเป็นแฟนประจำของเรื่องนั้นเลย ผมคิดว่าการเป็นนักแสดงตลกที่เก่งยากกว่าการเป็นนักแสดงแนวดราม่าที่เก่งอีกนะ ไบรอันเล่นมุกได้ตลอดเวลา แต่เขาก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ไปกับสิ่งที่เขาแสดงได้เสมอ ฉะนั้นตลอดเวลาที่เราเขียนบทนี้ ไบรอันคือตัวละครโจในความคิดผมเสมอ และโชคดีที่เขาตอบ ‘ตกลง’” สำหรับบทของเขา แม้แครนสตันจะมีความรักและหลงใหลในหนังก็อดซิลล่า แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ “แต่แกเร็ธบอกกับผมว่า หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร” นักแสดงชายกล่าว “มันเป็นตัวละครที่มีความลึกซึ้ง ทำให้องค์ประกอบของเรื่องราวมีควมเข้มข้นมากขึ้น เพราะเมื่อเราติดตามคนเหล่านี้ผ่านการผจญภัย เราจะเห็นการตัดสินใจที่ดีและแย่ รวมถึงมิตรภาพที่ขาดสะบั้นและกลมเกลียวกัน องค์ประกอบทั้งหมดของภาพยนตร์แนวดราม่าที่สนุกสนานอยู่ในหนังเรื่องนี้ มันถูกรวมไว้ในภาพยนตร์สัตว์ประหลาดฟอร์มยักษ์สุดอลังการ” จูเลียต บินอช ก็เห็นด้วยและเล่าว่า “สัตว์ประหลาดปล่อยพลังออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่ เรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองในบางมุมมากขึ้น และเห็นความรู้สึกของเราในมุมกว้าง แกเร็ธในฐานะของผู้เล่าเรื่องเข้าใจสัญชาตญาณนั้นดี เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ และฉันตื่เนต้นมากที่ได้ร่วมงานกับเขาในหนังเรื่องนี้” ตัวละครของบินอชคือ แซนดร้า โบรดี้ ไม่ต่างจาก โจ สามีของเธอสักเท่าไหร่ เธอเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเสียสละ แต่ในช่วงเช้าที่เกิดเหตุ ด้วยสัญชาตญาณของผู้เป็นแม่ต้องทิ้งเรื่องการนึกถึงคนอื่นทิ้งไปก่อน “เมื่อสถานการณ์ที่โรงงานเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤติ เธอต้องตัดสินใจทำบางอย่าง” บินอชกล่าว “สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงอยู่บ่อยๆ และในช่วงเวลาแบบนั้นการตัดสินใจของเธอได้อิทธิพลมาจากความรักที่มีต่อลูกและสามีของเธอ” 15 ปีต่อมาเมื่อฟอร์ดเดินทางไปที่ญี่ปุ่นเพื่อไปพบกับพ่อของเขาด้วยความเป็นห่วง เขาพบว่าโจยังฝังใจกับอุบัติเหตุครั้งนั้นที่ทำลายโรงงานและทำให้ครอบครัวของเขาต้องพังทลาย แครนสตันเล่าว่า “โจใช้ชีวิตเพื่อค้นหาปริศนาที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สุดซึ่งฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกของเขาคือความผูกพันที่เขามีต่อลูกชาย” ช่วงที่ลูกชายของเขาเดินทางมาถึงเพื่อพาเขากลับบ้าน โจกำลังอยู่ในช่วงพิสูจน์ว่าสิ่งที่มีพลังทำลายล้างโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์จันจิระเมื่อปี 1999 จะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งบันทึกของเรื่องรังสีที่รั่วไหลตกไปอยู่กับรัฐบาลที่วางแผนปกปิดความจริง ในการร้องขอครั้งสุดท้ายเขาโน้มน้าวให้ฟอร์ดเดินทางกลับไปยังบ้านของพวกเขาที่พังทลายลงไปแล้ว เพื่อหาหลักฐานว่าหายนะครั้งนั้นมีบางสิ่งที่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่หลังจากถูกจู่โจมโดยหน่วยปฏิบัติการ สิ่งที่พวกเขาพบในเขตกักกันกลับเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ภายในวัตถุในโพรงจันจิระ พวกเขาต้องพบกับความลับอันเลวร้ายของรัฐบาล ซึ่งเป็นการใช้นิวเคลียร์หล่อเลี้ยงสัตว์ประหลาด และหลังจากนั้น 15 ปีมันตื่นขึ้นมาในที่สุด แมรี่ แพเรนต์ เล่าว่า “ในหนังของเรามีการแนะนำให้รู้จักกับพลังแห่งการทำลายล้าง ซึ่งบางมุมมันคือผลลัพธ์จากเศษขยะของมนุษย์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดปัญหากับก็อดซิลล่า จนนำไปสู่ปัญหาครั้งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโลกของเรา” จากเหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้นได้นำฟอร์ดและโจไปพร้อมกับดร.เซริซาวะและดร.กราแฮมไปบนเรือกองทัพที่จะใช้เป็นกองบัญชาการสำหรับวิกฤติที่ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว เป็นการนำกองกำลังเฉพาะกิจไปปกป้องโลกจากการเผชิญหน้ากับแบบจำลองใหม่ที่น่ากลัวคือ พลเรือเอกสเตนซ์ ที่สะกดรอยก็อดซิลล่าทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงทวีปสหรัฐฯ นักแสดงที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างเดวิด สตราเธรน มารับบทพลเรือเอกวิลเลียม สเตนซ์ เล่าว่า “ไม่มีใครบนโลกเคยพบกับสิ่งที่มีขนาดใหญ่แบบนี้มาก่อน สเตนซ์จึงมีข้อมูลเชิงลึกเพื่อรับมือกับมันเพียงน้อยนิด เราจะสยบสัตว์ประหลาดด้วยอาวุธธรรมดาไม่ได้ ฉะนั้นเราจะใช้วิธีไหน? อาวุธนิวเคลียร์? นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายของกองทัพ แต่มันเป็นการยกระดับในเชิงเนื้อหา และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในปฏิบัติการเฉพาะกิจ สเตนซ์ต้องวางกลยุทธร่วมกับเซริซาวะ” สตราเธรนสนุกไปกับการศึกษาความขัดแย้งเรื่องนี้ตามหลักปรัชญาไปพร้อมกับวาตานาเบ้ “เซริซาวะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความกระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบมาก เขามีความเศร้าและกลัวความเย่อหยิ่งของมนุษย์เราที่ท้าทายธรรมชาติอยู่ลึกๆ” สตราเธรนแสดงความเห็นว่า “สเตนซ์ตัดสินใจได้ดีมาก ซึ่งขัดกับความคิดของเซริซาวะเรื่องการแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเค็นก็แสดงความอ่อนโยนออกมาในช่วงเวลาที่เข้มข้นระหว่างพวกเขาได้ เซริซาวะคือหัวใจสำคัญในเรื่องความเห็นใจของภาพยนตร์เลย”เช่นเดียวกับเพื่อนนักแสดงของเขา สตราเธรนมีความประทับใจในความฉลาดของเอ็ดเวิร์ดสที่ถ่ายทอดหลากหลายแง่มุมของมนุษย์ในเรื่องก็อดซิลล่าได้ “ผมรู้สึกว่าโดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นหนังเกี่ยวกับมนุษย์ที่มีความบอบบางอย่างเราขาดการตระหนักถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบตัวมากเกินไป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของก็อดซิลล่า มีการผูกเรื่องเปรียบเทียบกับอะไรหลายอย่างที่เรามีความเกี่ยวข้องในฐานะสัตว์สายพันธุ์หนึ่ง แกเร็ธต้องรับบทหนักในหนังเรื่องนี้ ฉะนั้นพูดได้เลยว่าผมรู้สึกประทับใจมากที่เขามาควบคุมแฟรนไชส์เรื่องนี้ เจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้ในมือของเขาที่เคารพและให้เกียรติมนุษยชาติ” หลังมีการเห็นก็อดซิลล่าบุกทำลายโลกตรงทางเข้าสนามบิน Honolulu Airport ฟอร์ดต้องร่วมเดินทางไปที่แผ่นดินใหญ่พร้อมกับกองกำลังหลังจากเกิดเหตุการณ์ทำลายล้างครั้งใหญ่ทั่วชุมชนและเมืองต่างๆ ที่ถูกเหยียบราบโดยพลังที่ไม่อาจคาดคิดได้ นี่เป็นโอกาสเดียวของเขาที่จะได้ช่วยครอบครัว ฟอร์ดเสนอตัวเองเป็นอาสาสมัคร ซึ่งสุดท้ายมันอาจกลายเป็นภารกิจปลิดชีพตัวเองเมื่อต้องพุ่งตัวสู่ใจกลางซานฟรานซิสโกที่ถูกโจมตี เพื่อปกป้องเมืองจากการทำลายล้างของนิวเคลียร์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตึกสูงเสียดฟ้าพังทลายลงมาเหมือนกับของเล่นที่หัก และที่พักพิงใต้ดินเต็มไปด้วยผู้ลี้ภัยที่ตื่นตระหนก เมืองแห่งมนุษย์ที่บอบบางกลายเป็นสมรภูมิระดับยักษ์ของอสูรกายที่เพชฌฆาตแถวหน้าคืบคลานเข้าใกล้เหยื่ออันโอชะ โดยมีการปลดปล่อยพลังแห่งความโกรธแค้นออกมาในการต่อสู้เพื่อเป็นหนึ่ง และใช้อนาคตของมนุษยชาติเป็นเดิมพัน “เราต้องเลือกว่าจะให้ก็อดซิลล่าปรากฏขึ้นในโลกของหนังเรื่องนี้ยังไง” เอ็ดเวิร์ดสกล่าว “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าก็อดซิลล่าเป็นตัวละครฝ่ายดีหรือร้าย ผมคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของความแตกต่าง เหมือนการตั้งคำถามว่าพายุเฮอร์ริเคนดีหรือไม่ดี ก็อดซิลล่าคือพลังอย่างหนึ่งจากธณรมชาติ แต่มันมีความรุนแรงมากกว่าและไม่สามารถคาดเดาได้ การปรากฏตัวของเขาเหมือนเป็นตัวแทนของการใช้ธรรมชาติในทางที่ผิดของเรา ฉะนั้นเมื่อก็อดซิลล่าปรากฏตัวขึ้น นั่นคือการมาเพื่อทำให้ทุกอย่างถูกต้องเหมาะสม”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ