กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสหนึ่ง ปี 2557 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 655.6 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5% และหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าขยายตัว 21% ทั้งนี้บริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับลดลง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 125.7 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในรอบเกือบ 8 ปี
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ดีมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ในส่วนของลลิลฯ แม้ปัจจัยภายนอกไม่เอื้ออำนวยนัก แต่ด้วยแผนกลยุทธ์ที่ทางบริษัทได้วางเอาไว้ ช่วยให้บริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในรอบ 8 ปี ที่บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ โดยในไตรมาส 1 ปี 2557นี้ มียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 655.6 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 5% ในขณะที่ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 21%
นอกจากนี้บริษัท ฯ ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในไตรมาสแรกนี้ มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 38.54%ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม รวมทั้งบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารต่างๆได้ดี โดยในไตรมาสแรกนี้แม้บริษัทจะมียอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในส่วนของการขายและบริหารปรับลดลง ส่งผลให้มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales)ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9.97%จากที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 10.86% ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 125.7ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 19.2% ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ดีเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
ในแง่ความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน บริษัทมีการก่อหนี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดย ณ สิ้นไตรมาสหนึ่งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่เพียงแค่ 0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงิน ตลอดจนศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากในอนาคตโดยสำหรับแผนธุรกิจในปี 2557 นี้ บริษัทยังคงแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 6-8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานประจำปี 2556 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.245 บาท โดยที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.12 บาท เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 และจะจ่ายเพิ่มอีก 0.125 บาทต่อหุ้น สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีหลัง โดยได้กำหนดให้มีการจ่ายปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 นี้