กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--สหวิริยาสตีลอินดัสตรี
- ปริมาณขายเหล็กรวมรายไตรมาส 948 พันตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส
- รายได้จากการขายและให้บริการรายไตรมาสรวม 19,011 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากไตรมาส 1/2556
- งบการเงินรวมขาดทุน 1,397 ล้านบาท ขาดทุนลดลงร้อยละ 52 จากไตรมาส4/2556 EBITDA พลิกเป็นบวก 75 ล้านบาท
- ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนมีกำไร 347 ล้านบาท ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ร้อยละ 38
- ธุรกิจโรงถลุงเหล็กขาดทุน 1,701 ล้านบาท ยอดขายเหล็กแท่งแบนลูกค้าภายนอก 486 พันตันสูงสุดเป็นประวัติการณ์
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2557 ดังนี้
งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 10,170 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 35 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 462 พันตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน และ ลดลงร้อยละ 35 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 38 ของปริมาณขายรวม EBITDA 962 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 40 จากงวดเดียวกันปีก่อน) และมีกำไรสุทธิ 347 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 363 จากไตรมาส 4/2556 และลดลงร้อยละ 60 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 19,011 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) สูงเป็นอันดับสองรองจากไตรมาส 1/2556 จากปริมาณขายเหล็กรวมสูงถึง 948 พันตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส Group EBITDA 75 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 91 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 1,397 ล้านบาท (ขาดทุนลดลงร้อยละ 52 จากไตรมาสก่อน และขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2557 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้
- ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 12,513 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 16 จากงวดเดียวกันปีก่อน) EBITDA ติดลบ 883 ล้านบาท (ติดลบน้อยลงร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 9 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 1,701 ล้านบาท(ขาดทุนลดลงร้อยละ 38 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
- ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 67 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 42 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 57 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 71 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
- ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 214 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 56 และมีกำไรสุทธิ 1.7 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 86 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 90 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
- ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 2,812 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันปีก่อน) ขาดทุนสุทธิ 109 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 2,548 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 187 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า “ในไตรมาสที่ 1/2557 เราประสบความสำเร็จใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ EBITDA กลุ่มกลับมาเป็นบวก 75 ล้านบาท หลังจากติดลบมา 3 ไตรมาส ยอดขายรวมของกลุ่มสูงสุด 948 ล้านตัน และยอดขายเหล็กแท่งแบนให้แก่บุคคลภายนอกสูงสุด 486 พันตัน
ธุรกิจโรงถลุงเหล็กมี EBITDA ติดลบลดลงกว่าครึ่งจากไตรมาสก่อน หลังจากความพยายามในการลดต้นทุนในด้านต่างๆของเราเริ่มปรากฏให้เห็นผล เราประสบความสำเร็จในด้านส่วนต่างของราคา (Slab Spread) ที่สูงขึ้นร้อยละ 36 จากความแข็งแกร่งของตลาดเหล็กแท่งในโลก ซึ่งได้แรงผลักดันจากความต้องการในตลาดอเมริกาเหนือ และภาวะวัตถุดิบล้นตลาด เรามียอดขายเหล็กแท่งแบนให้แก่บุคคลภายนอกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31
ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน ถึงแม้ว่ายังคงเผชิญปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศส่งผลให้ยอดขายลดลงร้อยละ 25 ต่ำกว่าระดับการขายปกติ แต่ในไตรมาสที่ผ่านมาเราสามารถเพิ่มยอดขายเติบโตขึ้นร้อยละ 9 เพิ่มค่าการรีด (HRC Spread) ขึ้นร้อยละ 4 และเพิ่ม EBITDA ขึ้นร้อยละ 31
อย่างที่ผมเคยกล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า เราต้องมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านปฏิบัติการและขยายปริมาณการผลิตของเราให้สูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเราที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่าตัวหลังจากการเชื่อมโยงธุรกิจต้นน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการประหยัดจากขนาด ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ต้นทุนลดลง เราเริ่มเห็นประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้แล้วในปัจจุบัน เป้าหมายต่อไปของเราคือการบรรลุถึงปริมาณขาย 1 ล้านตันต่อไตรมาส ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของเราดีขึ้นไปอีก
เรากล่าวได้อย่างมั่นใจว่าธุรกิจของกลุ่มเอสเอสไอได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว เรายอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจรในระดับโลกทำให้เราประสบความยากลำบาก แต่เรากำลังพลิกสถานการณ์การกลับมาและมุ่งมั่นที่จะสร้างตัวเลขผลการดำเนินงานที่ดีต่อไป”
“สำหรับแนวโน้มของธุรกิจไปข้างหน้า เรายังคงมีความระมัดระวังแต่ก็มองเห็นแนวโน้มในแง่ดี แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองไทยยังคงไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนและสถานการณ์ในยูเครน เราเห็นตลาดเหล็กทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและตลาดวัตถุดิบที่จะล้นตลาดมากขึ้น ซึ่งหมายความว่ายอดขายธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนของเราจะทรงตัวคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงนี้ ในขณะที่ยอดขายของธุรกิจโรงถลุงเหล็กจะเติบโต และส่วนต่างราคาโดยรวมดีขึ้น เราจะยังคงเดินหน้าสร้างความเป็นเลิศด้านปฏิบัติการและมุ่งเน้นการสร้างแผนต่อเนื่องของโครงการต่างๆที่จะเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ ผ่านโครงการ AAA Projects ในขณะที่ในช่วงนี้เราเริ่มได้รับผลประโยชน์แล้วจากโครงการ AAA Projects แรก ๆ ของเราที่ได้ลงมือไป”นายวินกล่าว