กรุงเทพฯ--19 พ.ค.--Pmed Clinic
นพ.ปิยพล พัฒนครู แพทย์ผู้มีความชำนาญด้านความงาม ผิวพรรณจาก Pmed Clinic ซึ่งตั้งอยู่ที่ อาคารโกลเด้นท์ทาวน์ ชั้น 2
ถ.พญาไท กรุงเทพ ( ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพญาไท ) เปิดเผยให้ความรู้เรื่องการทำศัลยกรรมว่าความนิยมในการทำเทคนิคการเติมเต็มด้วยด้วยเนื้อเยื่อไขมันผสมเซลล์ได้รับ ความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากเราไม่ได้ใช้สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เข้าร่างกายเป็นการเติมเต็มปัญหาริ้วรอย ร่องลึกที่เป็นสาเหตุให้แลดูมีอายุมากกว่าอายุจริงซึ่งอาจเกิดจากการทำงาน
ทั้งนี้ การดูแลหน้าไม่ถูกวิธี การพักผ่อนน้อย ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือแม้แต่การกินอาหารที่ไม่ถูกต้องก็เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแก่ก่อนวัย การเติมเต็มร่างกายที่แลดูเป็นธรรมชาติในทุกสัดส่วน สิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งยอดเยี่ยมของเทคนิคไขมันเติมเต็มแบบใหม่นี้คือ เนื้อเยื่อไขมันจะรอดชีวิตสูงพร้อมทั้งมีเซลล์ตัวอ่อนที่มีชีวิตติดมาด้วย เซลล์จะทำงานผ่านกลไกซับซ้อนทางชีววิทยาช่วยเพิ่มคุณภาพผิวและฟื้นคืนความมี ชีวิตของผิวพรรณได้ชัดเจนโดยมีผลยั่งยืนเพราะเซลล์จะยังคงอยู่ในบริเวณนั้น ตลอดไป ซึ่งฟิลเลอร์สังเคราะห์และเครื่องสำอางต่างๆล้วนไม่มีคุณสมบัตินี้ ดังนั้นการเติมเต็มด้วยไขมันจึงมีข้อดีทั้งในแง่การเติมเต็มรูปทรงหรือการ เติมความชีวิตให้แก่ผิวพรรณอย่างเป็นธรรมชาติ
นพ.ปิยพล กล่าวว่า ถ้าต้องการความสวยที่เติมเต็มทั้งความใส ความอ่อนเยาว์และเติมเต็มส่วนที่ขาดของใบหน้าเช่นร่องแก้มใต้ตา หน้าผากหรือขมับ ไขมันตนเองจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจช่วงนี้กระแสการฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิกแอซิด หรือ HA เพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก เพื่อแก้ไขความร่วงโรยบนใบหน้า ได้รับความนิยมลดลงและความนิยมด้านการฉีดไขมันตนเองกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะถึงแม้ Filler จากผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ ผลข้างเคียงน้อย หลังฉีดออกงานได้ทันที รวมถึงไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด ทำให้หลายคนเลือกที่จะใช้วิธีการนี้ในการคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า แต่อย่างที่ทราบกันอยู่ ว่าการฉีดฟิลเลอร์ HA ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ได้ในระยะสั้น คือประมาณ 6 – 8 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ และการฉีดฟิลเลอร์ HAเหมาะสำหรับการเติมเต็มเฉพาะที่ เพราะมีราคาค่อนข้างสูง ส่วน Filler หลายตัวก็ค่อนข้างมีปัญหายิ่งตัวที่อยู่ได้นานมากๆ บางครั้งเป็นสารสังเคราะห์ที่สลายตัวช้าผลแทรกซ้อนค่อนข้างมากถ้ายิ่งเติมเป็นปริมาณมากในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งมากเกินไปพบว่าอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ เกิดการขาดเลือดทำให้เกิดเป็นโพรงได้ทำให้เกิดการเกิดผลแทรกซ้อนให้เกิดการผิดรูปของตำแหน่งที่ฉีดได้ ซึ่งวิธีการหนึ่งที่เป็นตัวเลือกที่ดี นั่นก็คือการเติมเต็มด้วยไขมัน (Fat Grafting)
"การฉีดเติมเต็มด้วยไขมัน หรือ Fat Grafting เป็นการย้ายตำแหน่งไขมันจากบริเวณที่ไม่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ต้นขา มาเติมเต็มในส่วนที่บกพร่องเช่นบริเวณใบหน้า เช่น ร่องแก้ม รอยใต้ตา บริเวณรอบดวงตา เบ้าตาที่ลึกโบ๋ เนื่องจากไขมันบางส่วนที่หายไป ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบดวงตาลดลงเนื่องจากพังผืดที่ยึดบริเวณรอบดวงตามีการหย่อน ทำให้เกิดร่องลึกลงไปเรื่อยๆ เหล่านี้เป็นต้น ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ปัจจุบันได้มีการพัฒนากรรมวิธีที่จะมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว นั่นก็คือการนำไขมันมาผ่านกระบวนการปั่นแยก เพื่อแยกส่วนผสมของไขมันที่ดูดออกมาออกจากกัน โดยผ่านกระบวนการทางเครื่องมือ (Lipo-aspiration process) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำให้ได้ ไขมันที่มีชีวิตและคุณภาพสูง จากนั้นอาจจะแบ่งไขมันส่วนหนึ่งไปแยกสกัดเอาเซลล์เปลือกไขมันซึ่งมีเซลล์ไขมันปนอยู่เพื่อนำไปผสมกับเนื้อเยื่อไขมันที่เตรียมไว้แล้วจึงนำไปฉีดเติมยังบริเวณที่ต้องการ เป็นการทำให้ไขมันรอดชีวิตมากขึ้นหลังจากฉีด เรียกเทคนิคใหม่นี้ว่า CAL"
จากเทคนิคข้างต้นนำมาแก้ปัญหาในจุดต่างๆเช่น เติมเต็มบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายให้อวบอิ่ม เช่นบริเวณขมับ ร่องแก้ม ใต้ตา รอบดวงตา มุมคางหน้าผาก เต้านม ฯลฯ ฟื้นฟูสภาพผิวพรรณที่เสื่อมลง เติมเต็มบริเวณหลังมือ เติมเต็มร่องรอยความไม่เรียบหลังการดูดไขมัน ฯลฯ ช่วยในเรื่องผิวพรรณจะแลดูใสขึ้น โดยมีข้อดีของวิธีการนี้ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายไขมันที่ฉีดเข้าไปและเหลืออยู่หลังจากผ่านไป 6 เดือนจะอยู่ได้ถาวรผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติสามารถเติมเต็มไขมันได้ในปริมาณมากในการทำแต่ละครั้ง (อาจทำสองถึงสามครั้ง)ไขมันเป็นฟิลเลอร์ที่มีชีวิตสามารถฟื้นฟูสภาพความมีชีวิตชีวาของผิวหน้าได้เพราะไขมันมีสเต็มเซลล์ไขมันปนอยู่
ส่วน ข้อเสียเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความสามารถและเทคนิกที่เฉพาะโดยใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาความรู้ในการดูแลรักษาไขมันที่มีความทนต่ำให้สามารถเติมได้อย่างเหมาะสมไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไป
ทั้งนี้ การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา
1. คนไข้ต้องมีเวลาพอสำหรับการพักฟื้นในช่วง 1- 3 สัปดาห์หลังทำ
2. งดวิตามิน อาหารเสริม ยาบำรุง และยาต้านเกร็ดเลือดทุกชนิด ไม่ต่ำกว่า 1สัปดาห์
สำหรับ กระบวนการขั้นตอนในการผ่าตัด
1. ก่อนอื่นต้องเลือกตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมัน เช่นหากต้องการนำไปเสริมหน้าอก หรือเติมเต็มบริเวณใบหน้า ในการทำคนไข้จะอยู่ในท่านอนหงาย มักจะเลือดดูดไขมันบริเวณหน้าท้อง ต้นขาด้านในหรือด้านนอก คือเลือกบริเวณที่สามารถนำไขมันออกมาได้สะดวกที่สุด
2. ฉีดยาชาไปยังบริเวณที่จะทำการดูดไขมัน
3. ใช้เข็มดูดไขมันออกมา การใช้เข็มแทนการใช้เครื่องดูด จะดีในแง่ของการควบคุมความดัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไขมันที่สลายและตายจำนวนมาก
4. หลังจากได้ไขมันครบตามที่ต้องการแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมไขมัน ด้วยกระบวนการ lipo- aspiration process ด้วยเครื่องปั่นทางการแพทย์ เพื่อแยกเนื้อเยื่อไขมันที่มีชีวิต ด้วยเครื่องปั่นทางการแพทย์ เพื่อแยกชั้นไขมัน เพื่อแยกให้ส่วนที่มีความเข้มข้นน้อยที่สุดอยู่ด้านบน รองลงมาคือเข้มข้นปานกลาง และเข้มข้นมากที่สุดอยู่ด้านล่าง การแยกชั้นทำเพื่อเลือกไขมันที่มีโอกาสมีชีวิตรอดมากที่สุดมาใช้ ตัดปริมาณสารที่ตายแล้วออก ซึ่งสิ่งที่ตายแล้วจะอยู่ด้านบนซึ่งมักจะเป็นพวกน้ำมัน เซลล์ไขมันต่างๆ ที่แตกตัว ซึ่งจะถูกคัดทิ้งไป
5. นำไขมันที่ได้ไปสกัดเซลล์ไขมันเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่ต้องการ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Cal (Cell-Assisted Lipotransfer) ซึ่งวิธีนี้ก็จะเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ ไขมันที่จะมีชีวิตอยู่ มีปริมาตรแน่นอน สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนว่าต้องใส่ไขมันปริมาณเท่าใด
6. นำไขมันที่ได้มาผสมกับเซลล์แล้วนำไปฉีดในบริเวณที่ต้องการด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Structural Fat Graft เป็นการปลูกถ่ายไขมันเพื่อฟื้นคืนรูปทรงตามธรรมชาติแบบสามมิติของแต่ละส่วนย่อยๆของร่างกาย
7. เข็มที่ใช้ในการฉีดแพทย์จะใช้ Blunt Cannular ซึ่งมีลักษณะเป็นเข็มปลายทู่ เพื่อลดการกระทบกระเทือนแก่อวัยวะข้างเคียงขณะฉีด เพราะสิ่งที่ต้องระมัดระวังคือเส้นประสาท เส้นเลือด กล้ามเนื้อ และต่อมน้ำลายข้างแก้ม หากได้รับการกระทบเทือนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ ในการฉีดแพทย์จะแทงเข็มเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ลักษณะการแทงเข็มจะขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์แต่ละคน ซึ่งการทำให้ได้เรียบเนียนและการทำให้เซลล์ไขมันที่ใส่เข้าไปสูญเสียน้อยที่สุดอาจต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำค่อนข้างมากเนื่องจากต้องเข้าใจและรู้จักเซลล์ไขมันเป็นอย่างดีเพราะว่าเซลล์ไขมันค่อนข้างบอบบางและตายได้ง่ายมาก
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการรักษา หลังเข้ารับการรักษาควรมีการประคบเย็น 48-72 ชั่วโมงเพื่อลดอาการบวมและอาการเขียวช้ำ ช่วงแรกอาจจะยังคลำเจอไขมัน และไม่ค่อยเรียบเนียนนัก คนไข้ยังไม่ต้องกังวล แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำ ซึ่งอาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้น โดย 1- 3 สัปดาห์หลังทำ เพราะจะมีการบวม มีรอยเขียวช้ำโดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรก และจะเริ่มดีขึ้นในอาทิตย์ที่ 3-4 ซึ่งใบหน้าจะดูเข้ารูปมากขึ้น เห็นความอ่อนเยาว์ชัดเจนขึ้น ปัญหาที่อาจพบได้ และข้อพึงระวัง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการทำ Fat Grafting ถ้าเทียบกับการศัลยกรรมทั่วไป (Open Surgery) ถือว่าน้อยมาก อาจแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือในแง่ของเทคนิคในการทำ และในแง่ของความสวยงาม ในแง่ของเทคนิคในการทำ อาจมีความเสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนอวัยวะด้านในบริเวณใกล้เคียงได้ ความเสี่ยงที่จะมีเลือดคั่ง มีเลือดออกจากการกระทบกระเทือนเส้นเลือด เส้นประสาท ทำให้เกิดอาการบวมช้ำจนส่งผลให้เกิดการชาที่ใบหน้า หรือหน้าเบี้ยว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงชั่วคราว และพบได้น้อยมาก หรือหากมีผลกระทบกับอวัยวะส่วนอื่นๆ เช่นกล้ามเนื้อ ก็อาจทำให้การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมีการติดขัดเล็กน้อยซึ่งจะหายได้เอง แต่ที่แพทย์ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษคือการฉีดบริเวณรอบดวงตา และบริเวณจมูก ซึ่งจะมีเส้นเลือดที่มีปลายแขนงที่ไปเลี้ยงในส่วนของจอรับภาพ และระบบสมอง ซึ่งถ้าฉีดเข้าไปอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นและอาจเกิดอัมพาตได้ดังนั้นการใช้ Blunt Canula หรือเข็มปลายทู่ จึงเป็นการป้องกันได้ดีทางหนึ่ง
รวมถึงการใช้ไซริงค์ที่เล็ก ฉีดแต่ละครั้งในปริมาณน้อยๆ ก็เป็นการลดโอกาสที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน ส่วนในแง่ของความสวยงามนั้น ปัญหาที่อาจพบได้เช่นเกิดความไม่พอดีของปริมาณไขมันที่ฉีดเช่นฉีดมากไป น้อยไป หรือเกิดความไม่เรียบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับทักษะและความชำนาญของแพทย์ การแก้ไขในกรณีที่ฉีดไปแล้วเกิดความไม่เรียบเกิดขึ้น ต้องดูก่อนว่าเป็นระยะไหน ถ้าเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ อาจจะเกิดจากการบวมก็เป็นได้ หรืออาจจะเกิดจากการที่มีเลือดคั่งอยู่ อาจแก้ไขได้ด้วยการนวด การฉีดยาลดบวม การฉีดยาลดพังผืดด้านล่าง ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเกิดความไม่เรียบในกรณีที่มีปริมาณไขมันมากเกินไปจริงๆ อาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไข เอาไขมันส่วนที่เกินนั้นออกมา
หากเป็นในช่วง 1-3 เดือนถือว่ายังเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหานี้พบน้อยมาก หากทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ ในกรณีที่ต้องมีการทำซ้ำ เช่นคนที่ฉีดหน้าอกไปแล้วต้องการเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนเพื่อให้แผลหายและไขมันที่ฉีดเข้าไปมีความคงตัวก่อน ส่วนการฉีดเติมเต็มบนใบหน้าคนไข้ส่วนใหญ่จะไม่มีการมาเติมซ้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญหา ในรายที่ไม่พอใจต้องการเพิ่มเติมในบางจุดก็สามารถมาฉีดเติมเพิ่มได้เช่นเดียวกัน ปกติเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะอยู่ได้ประมาณ 8.5 ปี หลังจากนั้นเซลล์จะค่อยๆ ลดลง สูญสลายไปตามวัย
สำหรับ Pmed Clinic อาคารโกลเด้นท์ทาวน์ ชั้น 2 ถ.พญาไทมีดารา ศิลปิน มากมายมใช้บริการ เช่น นายศิริพงษ์ วสุนันต์ หรือ อาร์ม เคพีเอ็น และ น้องๆนักแสดงจากละครทั้งช่อง 7 ช่อง 3 รวมทั้งเซเลปดารา อื่นๆ อีกด้วย