กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมหารือร่วมกับนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย และนายวัลลภ เตชะไพบูลย์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สรุปได้ดังนี้
สมาคมธนาคารไทยได้รายงานถึงสภาวะการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอตัวลงของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนของ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าของธนาคารที่เริ่มมีความต้องการสภาพคล่องมากขึ้นเนื่องจากปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยที่ประชุมเห็นตรงกันว่าบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มลูกค้า SMEs ของธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินในสภาวะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้แก่ SMEs โดย บสย.ค้ำประกันสินเชื่อในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) 5 ซึ่งปัจจุบันยังมีวงเงินค้ำประกันรองรับได้ถึง 165,000 ล้านบาท โดย บสย. คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้ ไม่ต่ำกว่า 52,000 ราย และ ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบประมาณ 280,000 ล้านบาท นั้น คาดว่า บสย. จะออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบขณะนี้ โดยการยืดระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมออกไปอีก 6 เดือน โดยมาตรการดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับลูกค้าเดิมของ บสย. ที่จะถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 ถึง 31 ธันวาคม 2557 จำนวน 50,067 ราย คิดเป็นภาระค้ำประกันประมาณ 160,000 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้ลูกค้ามีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าว 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอคณะกรรมการ บสย. ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 และจะเริ่มมีผลเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557
นอกจากนี้ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง สมาคมธนาคารไทยและกระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการหารือกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศซึ่งสนใจที่จะร่วมค้ำประกันสินเชื่อร่วมกับ บสย. ให้สามารถเพิ่มระดับการค้ำประกันจากเดิมรับค้ำประกันความสูญเสียจากโครงการของ บสย. ที่ระดับสูงสุดที่ร้อยละ 18 เป็น ร้อยละ 50 ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความมั่นใจที่จะปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยผู้ประกอบการ ที่อาจขาดสภาพคล่องในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนี้ได้เพิ่มขึ้นมาก และเป็นการร่วมผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านกลไกหลักของธนาคารพาณิชย์คือการปล่อยสินเชื่อ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงระหว่างการจัดทำรายละเอียดของโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมิถุนายน
ปลัดกระทรวงการคลัง เชื่อมั่นว่า มาตรการดังกล่าวข้างต้นจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน และช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว โดยกระทรวงการคลัง ธนาคารพาณิชย์ รวมถึง สถาบันการเงินเฉพาะกิจ จะเร่งประสานให้สามารถดำเนินการได้ และเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว