กรุงเทพฯ--23 พ.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
บล.ทรีนีตี้ มองกรณีรัฐประหาร มีโอกาสฉุดดัชนี SET Index แตะระดับ 1,350-1,370 จุด ก่อนจะดีดกลับภายใน 2 เดือนแตะระดับ 1,450 - 1,500 จุด แนะหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่มที่ต่างชาติถือครองสูงและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง- สื่อสารบันเทิง-บริษัทหลักทรัพย์ สอยหุ้นที่มีสถิติปรับตัวดีกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมี, ค้าปลีก และพลังงาน เคาะหุ้นเด่น HANA, KCE, SVI, IVL, CPALL และ BCP
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีประกาศรัฐประหารเมื่อวานนี้ (22 พฤษภาคม 2557) ว่า บล.ทรีนีตี้ได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อตลาดทุนไทย โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์ในอดีตและผนวกกับการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดทุนไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติ การปรับตัวของตลาดเงิน ความเสี่ยงของประเทศ และผลกระทบที่จะมีต่อทิศทางของตลาดหุ้นรวมถึงราคาหุ้นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สรุปผลการศึกษาที่สำคัญ ได้ดังนี้ ระดับราคา SET Index ในปัจจุบันยังไม่ตอบสนองต่อข่าวการรัฐประหารมากนัก แต่นักลงทุนต่างชาติได้มีการปรับพอร์ทการลงทุนมาบ้างแล้ว หลังจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดการณ์แรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากการถือครองหุ้นไทยที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว (Under- owned) อย่างไรก็ตามหากต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองในระดับสูงแล้วในขณะนี้ ได้แก่ ธนาคาร รับเหมา และสื่อสาร
สำหรับสถิติการปรับตัวของดัชนี SET Index มักมีการปรับย่อตัวลง 3-7% ในช่วง 1-3 วันหลังจากการรัฐประหาร และมักดีดกลับได้เสมอ โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ในการปรับขึ้นสู่ระดับเดิมก่อนการประกาศรัฐประหาร ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจได้แก่การที่ SET Index สามารถปรับตัวสู่ระดับสูงสุดใหม่หลังจากการรัฐประหารผ่านไป 2 เดือน โดยระดับการปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 8.5% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการรัฐประหาร
อย่างไรก็ฝ่ายวิเคราะห์ฯประเมินระดับการปรับตัวลงต่ำสุดของ SET Index ที่มีโอกาสลงไปทดสอบได้อยู่ที่ประมาณ 7.3% และหากเกิดกรณีสถาบันจัดอันดับเครดิตจะออกมาประกาศปรับลดมุมมอง/อันดับความน่าเชื่อถือของไทย ผลกระทบสูงสุดของการปรับลดมุมมอง/อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศที่มีต่อ SET Index จะอยู่ที่ประมาณ 8% ซึ่งหากคิดลดจากระดับปัจจุบันที่ 1,405 จุด มองว่าระดับเลวร้ายที่สุดของ SET Index ในทุกกรณีอยู่ที่ 1,300 จุดโดยประมาณ
ส่วนค่าเงินบาทโดยปกติแล้วมักจะมีเสถียรภาพหลังจากการประกาศรัฐประหาร ซึ่งเราคาดว่าส่วนหนึ่งมาจากการแทรกแซงของธนาคารกลาง และการปรับตัวของดัชนีค่าประกันความเสี่ยงพันธบัตรนั้นมักพบว่าไม่มีนัยสำคัญ
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการประกาศรัฐประหารได้แก่ อสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง, สื่อสาร บันเทิง และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสถิติการปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดและยังเป็นกลุ่มที่มีการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในระดับค่าเฉลี่ยต่ำ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ค้าปลีก และพลังงาน
นายณัฐชาต สรุปกลยุทธ์การลงทุน ว่า หากในวันนี้ (23 พฤษภาคม 2557) ดัชนี SET Index เปิดมาสูงกว่าหรือบริเวณระดับ 1,380 จุด ซึ่งเป็นจุดเข้าซื้อที่แนะนำไว้ใน The Big picture ครั้งก่อน แนะนำขายหุ้น ประมาณ 50% เพื่อลดพอร์ทการลงทุนไปก่อน สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าซื้อหุ้นเพิ่ม แนะนำเข้าซื้อที่ระดับดัชนี 1350 – 1370 ซึ่งเป็นแนวรับแรกในจำนวน 50% ของเงินสด
อย่างไรก็ดี หาก SET Index ถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือจนทำให้ดัชนีปรับตัวหลุดกรอบ 1350 จุดลงมา แนะนำรอการเข้าซื้อที่ดัชนีบริเวณ 1300 จุดอีก 50% ของเงินสด นอกจากนั้นแนะนำให้โยกย้ายการลงทุนจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง สื่อสาร บันเทิง และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ มาเข้าสู่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, ปิโตเคมี, ค้าปลีก และพลังงาน ทั้งนี้มีหุ้นแนะนำ ได้แก่ HANA, KCE, SVI, IVL, CPALL และ BCP โดยบล.ทรีนีตี้ ยังคงระดับเป้าหมายดัชนี SET Index ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมไว้ที่ระดับ 1450 – 1500 จุด เช่นเดิม จากประเด็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปและบทสรุปทางการเมืองที่น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น