กรุงเทพฯ--26 พ.ค.--สำนักงาน กปร.
นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นประธานร่วมกับโรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ แถลงข่าวการจัดทำโครงการ “ยุวชนไทยในยุโรป...ตามรอยพระบาทพระพ่อเจ้า ณ ถิ่นเนามาตุภูมิ”ณห้องประชุมวิจิตรา รัตนเพียร โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ เลขที่ ๒๕๐ ถนนสีลม ๑๘แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำนักเรียนเชื้อสายไทยจากยุโรปเดินทางมาทัศนศึกษาประเทศมาตุภูมิ เพื่อให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิตของไทย ตลอดจนให้เยาวชนเหล่านี้ ได้รับทราบถึงพระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยภายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงทุ่มเทพระวรกายในการทรงงานตลอดระยะเวลากว่า ๖๕ ปี ที่มิทรงหยุดพักยังคงทรงงานอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการพระราชทานความช่วยเหลือต่างๆ ที่ปัจจุบันมีมากกว่า ๔,๔๔๗ โครงการ กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่อความสุขและความมั่นคงของราษฎรไทยทั้งประเทศอย่างหาผู้ใดเสมอเหมือนได้
โครงการ“ยุวชนไทยในยุโรป...ตามรอยพระบาทพระพ่อเจ้า ณ ถิ่นเนามาตุภูมิ”จุดเริ่มต้นสืบเนื่องมาจาก เมื่อปี ๒๕๔๙ สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมชาวไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ได้เชิญรองศาสตราจารย์ชวลี ดวงแก้ว และคณะจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปทุมวัน เดินทางไปจุดประกายด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาไทย และให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยและการวาดภาพลายเส้นที่นำไปสู่สัญญลักษณ์วัฒนธรรมไทย ที่ควรสอนแก่เยาวชนไทยในต่างแดนให้กับครูอาสาที่ประเทศเดนมาร์ก และในครั้งนั้นได้มีเยาวชนไทยจำนวน ๑๐ คน และครูอาสาจำนวน ๕ คน ได้เข้ามาเรียนรู้ในโครงการฯ นี้เป็นเวลา ๑ สัปดาห์ ต่อมาในปี ๒๕๕๐ คุณวนิดา สมิทธิวิวรรธน์ ครูอาสา ได้เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้ง “โรงเรียนรักษ์ไทย”ขึ้น เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมเยาวชนไทยให้เข้ามาเรียนรู้ภาษาไทย วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทยอันเป็นแผ่นดินเกิด ครูอาสาที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากประเทศไทยและประเทศเดนมาร์กทำให้ไม่มีประสบการณ์ในด้านการเรียนการสอน จากนั้นจึงได้เชิญครูภาษาไทยจากสถาบันอื่นๆ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ ด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการที่โรงเรียนรักษ์ไทยอย่างสม่ำเสมอตลอดมา สำหรับในการจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นการสร้างศรัทธา ให้ความรัก ความชื่นชม เพื่อให้เยาวชนเกิดความภูมิใจในความเป็นไทย ต่อมาในปี ๒๕๔๔ คณะกรรมการจัดการโครงการฯ จึงได้เรียนเชิญสมาพันธ์ครูภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในยุโรปเข้าร่วมโครงการฯ ทำให้โครงการฯ นี้เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยในยุโรปอีกหลายประเทศ จึงมีเยาวชนในยุโรปและครูอาสาเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น และได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับในปี ๒๕๕๖ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ในฐานะหน่วยงานกลางในการประสานการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และทำหน้าที่ในการเผยแพร่แนวพระราชดำริ รวมถึงผลสำเร็จจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้จัดโครงการ“สื่ออาสาสืบสานพระราชดำริ” ณ ประเทศเดนมาร์กและประเทศสวีเดน เพื่อเผยแพร่แนวพระราชดำริและผลสำเร็จจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้กับประชาชนคนไทยที่พำนักในประเทศเดนมาร์กและสวีเดน ได้ประจักษ์ถึงพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อประเทศและประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้ และจากการดำเนินการจัดโครงการ“สื่ออาสาสืบสานพระราชดำริ” ในครั้งนี้ของสำนักงาน กปร. คณะทำงานของโครงการ“ยุวชนไทยในยุโรป...ตามรอยพระบาทพระพ่อเจ้า ณ ถิ่นเนามาตุภูมิ” ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงได้กำหนดให้มีการนำเยาวชนไทยในยุโรปมาทัศนศึกษาในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ประเทศไทย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการทรงงาน หลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการตระหนักและร่วมกันสืบสานพระราชดำริได้อย่างถูกต้องชัดเจน และกว้างขวางยิ่งขึ้น
โครงการ“ยุวชนไทยในยุโรป...ตามรอยพระบาทพระพ่อเจ้า ณ ถิ่นเนามาตุภูมิ”ที่จัดขึ้นในครั้งนี้มีเยาวชนไทยในยุโรปสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๕๐ คน อายุระหว่าง ๑๐-๑๗ ปี จะเดินทางมาทัศนศึกษาในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ในพื้นที่โครงการภูมิรักษ์ธรรมชาติ เขื่อนขุนด่านปราการชล ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลฯ ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนไทยในยุโรปได้ทราบถึงพระราชกรณียกิจและพระอัฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พระพ่อเจ้าหรือพ่อของแผ่นดิน” ที่ได้ทรงทุ่มเทพระวรกายในการทรงงานหนัก เพื่อพัฒนาแนวคิดและความเป็นอยู่ของพสกนิการของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนี้เยาวชนไทยยังจะได้เรียนรู้ถึงการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ ตลอดจนรู้จักรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด และรักษาสภาพแวดล้อมให้มีการใช้อย่างยั่งยืนเพื่อคนรุ่นหลัง และการที่เยาวชนไทยเหล่านี้ได้เข้ามาเรียนรู้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก็จะทำให้เยาวชนไทยในยุโรปได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยอย่างที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกที่จะทรงงานหนักอย่างพระองค์ ทั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่เยาวชนไทยเหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดแนวพระราชดำริและผลสำเร็จจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปสู่เยาวชนรุ่นหลังได้ต่อไปไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอาศัยอยู่ในประเทศใดๆ ทั่วโลก แต่สิ่งที่สำคัญก็คือความเป็นคนไทยยังมีอยู่ในตนเองตลอดไป