CGS ลุ้นการเมืองนิ่ง หลังรัฐประหาร ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว เป้าดัชนีปีนี้ 1,500 จุด เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งรัฐบาลมีอำนาจเต็ม ฟื้นเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 26, 2014 14:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 พ.ค.--IR network บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS) คาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมาแข็งแกร่ง หลังรัฐประหาร เชื่อทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลาย และหากได้รัฐบาลมีอำนาจเต็มบริหารประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจ-กระตุ้นการลงทุน มองเป้าดัชนีปี”57 มีโอกาสทดสอบ 1,500 จุด พี/อี 16 เท่า เตือน 2 ปัจจัยเสี่ยงอาจมีผลกดดัน “การเมืองยังไม่นิ่ง-เฟดขึ้นดอกเบี้ย”หุ้นมีโอกาสร่วงลงมาทดสอบแนวรับ 1,320 จุด พี/อี 14 เท่า ระบุหากหลุดมาใกล้ระดับนี้น่าซื้อ หุ้นขนาดใหญ่แนะเก็บ PTTGC KBANK INTUCH ขนาดกลางยกนิ้วให้ CPF CPN ส่วนขนาดเล็ก แนะถือ CSS MJD SUPALI ส่วนหุ้นน้องเล็กตลาด mai แนะเก็บ TVD SUTHA นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) ให้มุมมองถึงทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ภายหลังจากทหารออกมาทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อคลี่คลายสถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาว่า เชื่อว่าปัญหาการเมืองน่าจะคลี่คลาย และมีโอกาสเห็นการจัดการเลือกตั้งเร็นวขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสามารถจัดเลือกตั้งได้ในช่วงใด อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นอาจกระทบกับบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ “ผมมองว่าหลังทหารออกมาทำรัฐประหาร ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น เพราะจะทำให้ทุกอย่างจะมีความชัดเจนมากขึ้น หากการเมืองสงบ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวยังอยู่ในกรอบจำกัด เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบกับผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้”นายรณกฤต กล่าว นายรณกฤต กล่าวว่า คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ มีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับ 1,500 จุดได้ โดยพี/อี อยู่ที่ 16 เท่า ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย ไม่มีการชุมนุมทางการเมือง และมีการจัดการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวประมาณ 5% เทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม หากการเมืองไม่นิ่ง มีการชุมนุมคัดค้านอย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง หรือมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ ดัชนีก็มีโอกาสปรับตัวลดลงมาทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,320 จุด ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าเข้าลงทุน เนื่องจาก P/E อยู่ที่ 14 เท่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง นายรณกฤต มองว่า ปัญหาการเมืองในประเทศยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ว่าท้ายที่สุดแล้วจะสามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง หรือมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจนได้หรือไม่ ขณะเดียวกันปัจจัยต่างประเทศ กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ขณะนี้มีการลดขนาดคิวอีอย่างต่อเนื่องตามแผน จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงใด ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่กดดันการลงทุนตลาดหุ้นไทย รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวอีกว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่แนะนำให้ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย PTTGC ถือเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีความโดดเด่นในขณะนี้ ซึ่งคาดว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 จะฟื้นตัว ส่วนหุ้นในกลุ่มแบงก์ แนะนำ KBANK เนื่องจากมีศักยภาพโดดเด่น และ INTUCH ซึ่งเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง และราคาปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก หุ้นขนาดกลาง แนะนำ CPF ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะออกมาโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา CPN ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และราคาปรับตัวลดลงมาก ส่วนหุ้นขนาดเล็ก แนะนำ CSS MJD และ SPALI ซึ่งถือเป็นที่มีความโดดเด่นและมีศักยภาพ ขณะที่หุ้นในตลาด mai แนะเข้าลงทุน TVD และ SUTHA

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ