กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ทิสโก้ แนะนักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นไทย และไปลงทุนหุ้นต่างประเทศแทน มองหุ้นไทยแพงหนำซ้ำเศรษฐกิจไทยส่อแววซึมยาว จีดีพีอาจถึงขั้นติดลบ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเทขายแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ประกาศกฎอัยการศึก กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แนะเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เน้นตลาดหุ้นญี่ปุ่น เอเชียเหนือ ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนบนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และราคาหุ้นยังถูก
นายคมศร ประกอบผล นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทิสโก้ เวลธ์ (Mr.Komsorn Prakobphol, Senior Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมภายหลังจากที่มีการประกาศรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 ที่ผ่านมา โดยแนะนำให้นักลงทุน “ขายหุ้นไทย และเพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้นต่างประเทศ” เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นของไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจนถือว่าอยู่ในระดับที่แพงแล้ว แม้จะมีการปรับฐานจากความกังวลด้านสถานการณ์ภายในประเทศไปบ้าง แต่ถือเป็นการลดลงไปในระดับที่ไม่มีนัยยะสำคัญ โดยปัจจุบัน PE ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ที่ราว 14 เท่า ซึ่งแพงกว่าภูมิภาค ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว โดยคาดว่าตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 อาจจะติดลบต่อเนื่อง หลังจากที่ไตรมาส 1 หดตัวลง 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ได้ทำการปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 1% จากเดิมที่ปรับลดลงไปแล้วที่ 1.5% ก่อนหน้านี้ ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ระดับ 2%
“การลงทุนในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ถือว่ายังไม่ใช่ช่วงที่น่าสนใจเข้าลงทุน แม้ตลาดจะมีการปรับฐานลงบ้างและเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,400 จุด แต่ด้วยระดับ PE ในปัจจุบันที่สูง ราคาหุ้นแพง นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่มีการประกาศกฎอัยการศึกต่างชาติได้มีการเทขายหุ้นไทยออกมาแล้วถึง 20,000 ล้านบาท ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง แม้หน่วยงานรัฐบาลและเอกชนในภาคการเงินและการคลังจะมีการหารือการจัดทำโรดแมปด้านเศรษฐกิจเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน แต่มองว่าอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นความชัดเจนของแผนและผลลัพธ์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันต่อไป ดังนั้นในช่วงนี้จึงแนะนำให้ลดพอร์ตหุ้นไทย แล้วเพิ่มพอร์ตหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีการขยายตัวแข็งแกร่ง เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีกว่านั่นเอง” นายคมศร กล่าว
นายคมศร กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นในต่างประเทศที่น่าสนใจลงทุนขณะนี้ คือ ญี่ปุ่น และ เอเชียเหนือ (ประกอบด้วย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้) เนื่องจากเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ราคาหุ้นปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ถูก โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความโดดเด่นอยู่ที่แนวโน้มกำไรของ บจ. ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าไม่ต่ำว่า 15% รวมถึง Valuation ดัชนี Nikkei 225 ปัจจุบันมีการซื้อขายอยูที่ 1.7 เท่า P/B ซึ่งตํ่ากว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วที่ 2 เท่า และการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนี Nikkei 255 ในระยะต่อไป ดังนั้นในจังหวะนี้จึง “แนะนำซื้อ” เพื่อลงทุนเพิ่ม
ด้านตลาดหุ้นเอเชียเหนือ ยังคงมีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง และเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวัน และจีนต่างมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดไต้หวันประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2557 ขยายตัวอยู่ที่ 3.14% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 3% และปรับเพิ่มประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจเป็น 2.98% จาก 2.8% จากมุมมองการส่งออกที่มีแนวโน้มดีขึ้น และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เม.ย. ขยายตัว 4.80% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 3.6% ซึ่งจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นนี้จะทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเหนือเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มโอกาสจากการลงทุนได้เป็นอย่างดี จึง “แนะนำซื้อ” เพื่อลงทุนเพิ่ม