กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--ชัยพีอาร์
เอสจีเอส สยายปีกลุยขยายธุรกิจประเทศเพื่อนบ้าน ประเดิมลาว และกัมพูชา เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 มั่นใจกระแสตอบรับดี จากเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
นายจิโรจ ณ นคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากเอสจีเอสเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยเป็นเวลานาน และเล็งเห็นความพร้อมของประเทศไทย จึงลงทุนขยายธุรกิจไปยังประเทศลาวและกัมพูชาเพิ่มเติม ทำให้ตอนนี้มีสาขาครอบคลุมทั้ง 10 ประเทศในอาเซียน และปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากประเทศลาวและกัมพูชา ประมาณ 10% ของรายได้รวม 3 ประเทศซึ่งได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา แต่คาดว่าในอีก 5 ปี รายได้จากประเทศเพื่อนบ้านรวมกันจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 30% ของรายได้รวม 3 ประเทศ
“สำหรับประเทศลาว บริษัทฯได้ตั้งสำนักงานตัวแทนตั้งแต่ปี 2555 ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และการค้าไฟฟ้า โดยการตรวจสอบจะเน้นการตรวจสอบเรื่องสิ่งแวดล้อมในกิจการไฟฟ้า และนำตัวอย่างดินจากเหมืองแร่มาวิเคราะห์ ทั้งนี้ประเทศลาวพยายามที่จะยกระดับสิ่งต่างๆ ให้มีมาตรฐานระดับสากล เนื่องจากมีชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนในลาวจำนวนมาก และบริษัทเหล่านี้มีมาตรฐานการดำเนินงานที่ดี ทำให้บริษัทท้องถิ่นพยายามเพิ่มมาตรฐานของธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จึงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาตรฐานและระบบการทำงานต่างๆ”
“ส่วนประเทศกัมพูชา บริษัทฯเข้าไปดำเนินธุรกิจเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา โดยถือหุ้นเต็ม 100% กลุ่มเป้าหมายหลักคือโรงงานในกิจการสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งมีต่างชาติเข้าไปลงทุนมากเช่นกัน โดยการตรวจสอบจะคลอบคลุมทั้งการตรวจสอบสินค้า และการใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังตรวจสอบมาตรการของธุรกิจนำเข้าถ่านหิน เกษตร และในตลาดกัมพูชา เอสจีเอสมีคู่แข่งมาก โดยมีบริษัทต่างชาติให้บริการรูปแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นผลจากผู้ผลิตสินค้าในกัมพูชาส่วนใหญ่เน้นส่งออกไปต่างประเทศ โดยลูกค้าจากยุโรป และสหรัฐ คาดหวังมาตรฐานระดับสูง และผู้ให้บริการรับรองมาตรฐานที่แบรนด์ต่างชาติจะได้รับความไว้วางใจสูงสุด”
“ในเรื่องของอุปสรรคการเข้าไปลงทุนในประเทศลาวนั้น เรื่องข้อกฎหมายและกฎระเบียบการลงทุนทำธุรกิจ ไม่ค่อยมีปัญหามากเพราะสามารถสื่อสารกันได้ง่าย แต่การทำธุรกิจในกัมพูชาจะมีปัญหาเรื่องภาษา และกฎระเบียบที่ซับซ้อน ส่วนเรื่องของบุคลากรบริษัทฯ มีนโยบายใช้คนท้องถิ่นเข้ามาทำงานโดยเบื้องต้นจะส่งผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยไปสอนงาน โดยใช้ระบบการทำงานเดียวกันทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมา ค่อนข้างหาพนักงานท้องถิ่นยาก และธุรกิจนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนท้องถิ่นแต่ก็มีคนสนใจมาร่วมกับบริษัทฯเพราะเป็นบริษัทต่างชาติ”
สำหรับแผนการลงทุนในอนาคต บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างสร้างห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) ในกรุงพนมเปญกัมพูชา โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ เพื่อตรวจสอบทางเคมีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ส่วนในประเทศลาวยังคงต้องดูทิศทางของธุรกิจ แต่อย่างไรก็ยังมีแผนเปิดสำนักงานเต็มรูปแบบเช่นกัน สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันอัตราการเติบโตทางธุรกิจไม่ค่อยหวือหวา เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว โครงการขนาดใหญ่ชะลอการลงทุน แต่ทั้งนี้ก็จะยังมีรายได้จากการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศลาวและกัมพูชาเข้ามาช่วยเสริม ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นายจิโรจ กล่าวทิ้งท้าย