กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ทิสโก้ เวลธ์ ชี้ตลาดหุ้นเยอรมัน เด่นสุดในยุโรป หลังรับปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจยุโรปและเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนตลาดส่งออกเติบโตโดดเด่น ส่งเศรษฐกิจโตแข็งแกร่ง แนะเพิ่มพอร์ตลงทุนตลาดหุ้นเยอรมัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนและกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน
นายคมศร ประกอบผล นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทิสโก้ เวลธ์ (Mr.Komsorn Prakobphol, Senior Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) ประเมินว่าจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยุโรปที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปกลับมามีความน่าสนใจลงทุนอีกครั้ง และเป็นตลาดที่มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าลงทุนเป็นอันดับสองของโลกรองจากญี่ปุ่น และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยตลาดที่ทิสโก้ เวลธ์ มองว่าน่าสนใจลงทุนที่สุดในกลุ่มยูโรโซนก็คือ “ตลาดหุ้นเยอรมัน“
โดยตลาดหุ้นเยอรมัน มีความโดดเด่นอยู่ที่ปัจจัยสนับสนุนด้านเศรษฐกิจซึ่งมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 ในยุโรป อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเยอรมันเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าและส่งออกรายใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมันที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกและเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมันล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทชั้นนำที่รู้จักทั่วโลก อาทิ Mercedes Benz, BMW, Volkswagen, Daimler, Allianz, Bayer, Siemens และ Adidas เป็นต้น
“เศรษฐกิจเยอรมันถือได้ว่าเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มยูโรโซน เห็นได้จากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ บางประเทศในยูโรโซนได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางและเศรษฐกิจกลับไปหดตัวอีกครั้ง เช่น โปรตุเกส และอิตาลี ขณะที่เศรษฐกิจเยอรมันยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา และสูงกว่ากลุ่มยูโรโซนที่ขยายตัวเพียง 0.2 และมีอัตราการว่างงานต่ำเพียงราว 5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 23 ปี“ นายคมศร กล่าว
นายคมศร กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยความโดดเด่นของเศรษฐกิจเยอรมัน ทำให้ตลาดหุ้นเยอรมันมีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น และเชื่อว่าตลาดหุ้นเยอรมันจะยังสามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนได้ดีในปีนี้ ในขณะที่ Upside จากการลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศยุโรปอื่นๆ นั้นมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก Valuation ที่แพง และแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก อาทิ ตลาดหุ้นสเปนและโปรตุเกส ที่มีการซื้อขายที่ระดับ P/E ราว 17 เท่า และ 21 เท่าตามลำดับ ส่วนตลาดหุ้นของเยอรมันยังมีการซื้อขายที่ Valuation ที่ถูกกว่าโดยในปัจจุบัน ดัชนี DAX ของเยอรมัน ซื้อขายที่ ระดับ P/E ประมาณ 13.8 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นไทย และต่ำกว่าดัชนี Europe STOXX600 ซึ่งซื้อขายที่ P/E ราว 15.4 เท่า แต่ถ้าเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ซึ่งมี PE อยู่ที่ 16 เท่า ทำให้ตลาดหุ้นเยอรมันยังมีโอกาสในการปรับตัวขึ้นได้อีกมาก ดังนั้น จึงแนะนำ “เพิ่มพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมัน” เพื่อเปิดโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศและเพื่อกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน