กรุงเทพฯ--3 มิ.ย.--สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(2 มิ.ย. 57) ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 14 สกว. อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ กรุงเทพฯ - สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยโครงการกิจกรรมการเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคนโยบาย จัดประชุมเวที สกว. (TRF Forum) ประเด็นเกี่ยวกับ AEC เรื่อง “สวัสดิการแรงงานข้ามชาติภายใต้กระแสการบูรณาการของภูมิภาคอาเซียน” เพื่อให้นักวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนในเรื่องแรงงานข้ามชาติของ สกว. นำเสนอข้อมูล ผลการวิจัย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย อันเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศไทยในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ ต่อสาธารณชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.ภาคภูมิ ทิพคุณ ผู้ประสานงานโครงการกิจกรรมการเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคนโยบาย สกว. กล่าวว่า “สกว. ให้การสนับสนุนการวิจัยในเรื่องแรงงานข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติชาวไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติในระดับต่างๆ และเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ ขณะนี้บางโครงการที่เกี่ยวกับประเด็นแรงงานข้ามชาติ ความเป็นอยู่สภาพการทำงานในต่างประเทศ และการส่งเงินกลับถิ่นต้นทางของแรงงาน ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้จัดเวที สกว. หรือ TRF Forum ครั้งนี้ขึ้น เพื่อเผยแพร่ผลวิจัยต่อสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
อ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวนำเสนองานวิจัยเรื่อง “กระบวนการสร้างความร่วมมือด้านสวัสดิการประเทศต้นทาง ปลายทาง และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” โดยพบว่า “ลักษณะแรงงานข้ามชาติในตลาดแรงงาน มีความแตกต่างจากแรงงานไทยในด้านความยืดหยุ่น ความคาดหวัง และการจัดการในส่วนรายได้ที่ได้รับ โดยสวัสดิการตามกฎหมายที่ภาครัฐจัดให้ยังไม่ครอบคลุมทั้งในระดับปริมาณและคุณภาพ และไม่สอดรับกับลักษณะตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่น รวมทั้งสวัสดิการแบบเน้นรัฐไม่สามารถตอบรับการเคลื่อนบ้ายของแรงงานในยุคโลกาภิวัตน์ได้”
ในเรื่องนี้ อ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ให้มุมมองข้อเสนอแนะต่อภาครัฐว่า 1) ควรทำข้อตกลงการคุ้มครองทางสังคมระหว่างรัฐบาลประเทศต้นทางการอพยพ เพื่อให้สิทธิการคุ้มครองทางสังคมที่มีในรัฐไทยไม่สิ้นสภาพ อันจะสอดรับต่อการบูรณาการอาเซียน (ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) 2) พยายามปรับใช้หลักการของ ILO หรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ให้สอดรับต่อการควบคุมแรงงานไทย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรฐานด้านแรงงานที่ไม่ตรงกัน และ 3) ควรศึกษาเพิ่มเติมแนวทางบูรณาการเพื่อสร้าง Permanent Residence หรือวิธีการขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร เพื่อให้ได้สิทธิทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ตามพื้นที่ที่ทำงาน อันสอดรับต่อการบูรณาการอาเซียนและลักษณะการทำงานของแรงงานข้ามชาติที่มีแนวโน้มอยู่อาศัยระยะยาวมากขึ้น ขณะที่มุมมองข้อเสนอแนะต่อภาคเอกชน เห็นว่า ฝ่ายนายจ้างควรส่งเสริมการประกันกับบริษัทเอกชนคู่ขนานไปกับสวัสดิการภาครัฐ เนื่องด้วยประกันของกองทุนข้ามชาติมีความยืดหยุ่นต่อการขยายการคุ้มครองข้ามพรมแดน และควรร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนระดับกลาง สร้างฐานข้อมูลผู้ใช้แรงงานเพื่อประโยชน์ด้านการจัดสรรแรงงานและสวัสดิการในอนาคต
ถัดมาเรื่องที่สอง อาจารย์สุทธิพร บุญมาก มหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวนำเสนองานวิจัยเรื่อง “การส่งเงินกลับบ้าน: กรณีศึกษาผู้ย้ายถิ่นจากจังหวัดชายแดนใต้ในประเทศมาเลเซีย” ว่า “การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแบบแผนพฤติกรรมการส่งเงินกลับบ้าน ช่องทางการรับเงินส่งกลับบ้าน วิธีการบริหารจัดการเงินส่งกลับบ้าน และผลกระทบของการส่งเงินกลับบ้านที่มีต่อครอบครัวและชุมชน ซึ่งทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานอยู่ในธุรกิจที่เรียกว่า Tom Yam Restaurant Business ซึ่งพบว่า การส่งเงินกลับของกลุ่มแรงงานจะมากกว่ากลุ่มผู้ประกอบการเนื่องด้วยพันธะและความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ข้างหลังในประเทศไทย โดยจำนวนเงินส่งกลับบ้านจากมาเลเซียสู่ไทยไม่ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบ เพราะส่วนใหญ่เป็นแรงงานผิดกฎหมาย จึงส่งเงินอย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้งอาจเป็นการส่งเงินกลับภายในประเทศไทยเองเพราะบ้านติดอยู่ชายแดน ซึ่งแรงงานแต่ละประเภทได้รับค่าจ้างต่างกันมีผลต่อความสามารถในการส่งเงินในขนาดที่ต่างกัน เช่น แรงงานประมงจะมีความสามารถส่งเงินได้มากกว่าแรงงานทั่วไป เพราะค่าจ้างขึ้นอยู่กับปริมาณของการจับประมงได้มาก”
อาจารย์สุทธิพร บุญมาก กล่าวต่อว่า “ในการศึกษาแบบแผนการส่งเงินกลับบ้านทำให้พบว่าเป็นกระบวนการทางสังคมที่มีความเป็นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และส่วนใหญ่มักเป็นวิธีการส่งเงินกลับอย่างไม่เป็นทางการไม่สามารถบันทึกได้ในระบบบัญชีประชาชาติ เช่น ฝากญาติ ฝากเพื่อนที่จะกลับประเทศ นอกจากนี้ ยังพบข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยว่า ควรพัฒนาระบบการส่งเงินระหว่างไทยและมาเลเซียโดยเฉพาะ และควรส่งเสริมการส่งเงินกลับในรูปแบบเพื่อชุมชนหรือสังคมในถิ่นต้นทาง เพื่อกระตุ้นความผูกพันของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในรูปแบบของซะกาต (Zakat) หรือทานประจำปีของชาวมุสลิมให้มากขึ้น นอกเหนือจากส่งเงินเพื่อใช้ส่วนตัวและเพื่อครอบครัว รวมทั้งควรส่งเสริมการสะสมทุนและเงินออมไปพร้อมกันด้วย”
และเรื่องที่สาม อ.ดร.พิมเสน บัวระภา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวนำเสนองานวิจัยเรื่อง “เครือข่ายและการส่งเงินกลับบ้าน: ผู้อพยพข้ามชาติชาวไทยในประเทศเวียดนาม (ภาคเหนือ)” ว่า “โครงการนี้ให้ความสนใจศึกษากลุ่มผู้อพยพข้ามชาติชาวไทยข้ามชาติที่กำลังพักอาศัยและประกอบอาชีพอยู่ในบริเวณภาคเหนือของเวียดนาม ปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา โดยผลวิจัยพบว่า ผู้เคลื่อนย้ายข้ามชาติชาวไทยในเวียดนาม (ภาคเหนือ) มีชุดของปฏิสัมพันธ์หรือสายสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดเครือข่ายให้สามารถทำอยู่ทำกินได้อย่างสมดุล 2 ชุดคือ สายสัมพันธ์เครือข่ายภายในกลุ่มผู้เคลื่อนย้ายข้ามชาติชาวไทย หรือเครือข่ายการทำอยู่ และสายสัมพันธ์ภายนอกระหว่างผู้เคลื่อนย้ายชาวไทยข้ามชาติกับชาวเวียดนามเจ้าของพื้นที่ใหม่หรือชาวต่างชาติอื่นใด หรือเครือข่ายการทำกิน ซึ่งสายสัมพันธ์ชุดแรกนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการยึดโยงชาวไทยให้สามารถดำรงและคุ้นเคยในพื้นที่ใหม่ด้วยการสร้างชุมชนชาวไทยในจินตนาการร่วมกันเพื่อเติมเต็มในความโหยหาบ้านเกิดเมืองนอน ส่วนสายสัมพันธ์ที่สองคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การทำกินของเขาเหล่านั้นดำรงอยู่ได้”
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า องค์กรโครงสร้างทางสังคมหลักที่มีบทบาทและพลังในการประสานสายสัมพันธ์ระหว่างผู้อพยพชาวไทยข้ามชาติเข้าด้วยกัน โดยอาศัยกิจกรรมทางรัฐชาติและวัฒนธรรมในการรวมศูนย์ มี 2 องค์กรสำคัญคือ สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำ ณ กรุงห่าโน๋ย ซึ่งมีบทบาทหน้าที่หลักในการรักษาผลประโยชน์และดำเนินงานเพื่อสร้างผลประโยชน์ของชาติ และสมาคมนักธุรกิจไทยในประเทศเวียดนามหรือ TBA (ภาคเหนือ) องค์กรเอกชนที่เกิดจากสายสัมพันธ์ของผู้ทำอยู่ทำกินในเวียดนามภาคเหนือเป็นส่วนมาก ทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ทางกิจกรรมสาธารณะกุศล และจัดกิจกรรมต่างๆ ระหว่างคนไทยด้วยกัน
ด้านข้อเสนอแนะเชิงนโนบายที่ได้จากการวิจัย อ.ดร.พิมเสน บัวระภา ได้ให้ไว้หลายประการ อาทิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยควรปรับยุทธิวิธีในการเป็นที่พึ่งพาแก่ผู้ประกอบการด้วยการประยุกต์เอาแนวคิดในเรื่องเครือข่ายจากองค์กรเอกชนเข้าไปประสานช่วยเหลือในระบบการทำงาน การเร่งสร้างศูนย์กฎหมายและการค้าในแต่ละประเทศให้เป็นรูปธรรมที่มีความเหมาะสมและยืดหยุ่นกับประเทศนั้นๆ เพื่อสนองตอบต่อการเดินทางเข้าไปลงทุนในแต่ละประเทศ รวมทั้งอาจสร้างเครือข่ายการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนด้านสื่อการแสดง ภาพยนตร์ แฟชั่น ดารา ให้เป็นสื่อทางวัฒนธรรม เผยแพร่โฆษณาประชาสัมพันธ์ อัตลักษณ์และวัฒนธรรมไทยพร้อมกับการสร้างสัญลักษณ์ทางสินค้าไทย ดังเช่นที่เกาหลีใต้ได้ดำเนินการก่อนแล้ว เป็นต้น
ทั้งนี้ เวที สกว. หรือ TRF Forum เป็นการประชุมขนาดเล็กที่จัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องในประเด็นการประชุมที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งประเด็นที่เลือกมาเป็นหัวข้อในการอภิปรายแต่ละครั้ง จะเป็นประเด็นการวิจัยที่ สกว. ให้การสนับสนุนหรือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบไปด้วยกลุ่มบุคคล 4 กลุ่ม ได้แก่ นักวิชาการ/นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบายหรือผู้ปฏิบัตินโยบาย โดยเวทีดังกล่าวจะส่งผ่านข้อมูลและองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยของ สกว. ไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดหรือการดำเนินนโยบายสาธารณะของประเทศต่อไป