กรุงเทพฯ--9 มิ.ย.--คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
-ในงานคอมพิวเท็กซ์ ผู้ผลิตและผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลก จัดแสดงแท็บเล็ตกว่า 130 รุ่น ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังอินเทล และสามารถรองรับได้ทั้งระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์และวินโดว์ส โดยพร้อมออกสู่ตลาดช่วงงานคอมพิวเท็กซ์กว่า 10 รุ่น
-อินเทล เปิดตัวอุปกรณ์ ทูอินวัน ที่ใช้ Intel® Core™ M processor (อินเทล® คอร์™ เอ็ม โปรเซสเซอร์) บนสถาปัตยกรรมขนาด 14 นาโนเมตร ซึ่งทำงานได้โดยปราศจากพัดลม เป็นครั้งแรกในโลก โดยคาดว่าจะวางจำหน่ายภายในปีนี้
-สาธิตการใช้งานโทรศัพท์โดยสมาร์ทโฟนที่มีชิป Sofia (โซเฟีย) ซึ่งเป็น SOC (เอสโอซี) สำหรับอุปกรณ์โมบายล์ เป็นครั้งแรก
-เปิดตัว Intel® Core™ i7 processor (อินเทล® คอร์™ ไอเซเว่น โปรเซสเซอร์) เจนเนอเรชั่นที่ 4 รุ่น Unlock ที่มี 4 คอร์ และแต่ละคอร์สามารถทำงานด้วยความเร็ว 4Ghz
-เผยความคืบหน้าในการพัฒนาให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วยกล้อง 3 มิติ และระบบสั่งงานด้วยเสียงที่โต้ตอบได้ด้วยท่าทางต่างๆ
เรเน่ เจมส์ ประธานของอินเทล กล่าวในงานคอมพิวเท็กซ์ ที่จัดขึ้น ณ กรุงไทเป ประเทศไต้หวันว่าเมื่อการใช้งานคอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการและขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยได้ก้าวข้ามการใช้งานพีซีรูปแบบเดิมไปแล้ว ทั้งอินเทลและบริษัทด้านเทคโนโลยีในไต้หวันจึงมีโอกาส อันน่าตื่นเต้นที่จะได้สร้างประวัติศาสตร์ด้านความร่วมมือทางนวัตกรรม เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีส่วนบุคคลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้นอย่างไร้ขอบเขต
ตามกฎของ Moore’s Law นั้น เทคโนโลยีของโปรเซสเซอร์ จะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและกินไฟต่ำลง ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตการทำงานและศักยภาพสำหรับเทคโนโลยีของอินเทลและระบบอีโคซิสเต็มของไต้หวัน จากเทคโนโลยีคลาวด์ และ Internet of Things ไปสู่อุกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาส่วนบุคคล และเทคโนโลยี wearable
เรเน่ กล่าวเสริมว่า“ปัจจุบันการแบ่งประเภทของเทคโนโลยีทำได้ยากขึ้น เนื่องจากเป็นยุคเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แบบผสมผสานที่ลักษณะภายนอก (form factor) มีความสำคัญน้อยกว่าประสบการณ์การใช้งานที่ได้รับจากการใช้งาน และอุปกรณ์มีการเชื่อมต่อระหว่างกันและกัน และเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีคลาวด์ ซึ่งอินเทลเองมีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อมอบเทคโนโลยีขั้นสูง ให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน เสื้ออัจฉริยะ อุปกรณ์ทูอินวันที่มีขนาดบางมาก หรือระบบคลาวด์ที่ออกแบบเพื่อการสร้างระบบอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือการมอบประสบการณ์ใช้งานที่ฉลาดขึ้น และทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เพื่อนำไปสู่โลกที่เชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด”
เรเน่ ยังย้ำด้วยว่าความร่วมมือระหว่างอินเทลกับบริษัทในไต้หวันและผู้ผลิตและให้บริการทางเทคโนโลยีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ จะทำให้อุปกรณ์ใหม่ๆ ที่กำลังจะออกสู่ตลาดมีความอัจริยะมากขึ้น สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีกับอุปกรณ์อื่นๆ รวมถึงระบบคลาวด์ และเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนได้
เทคโนโลยีการประมวลผลส่วนบุคคล จะมาในหลากหลายรูปแบบทั้งขนาด รูปลักษณ์ และประสบการณ์การใช้งาน
เรเน่ กล่าวว่า กฎของมัวร์ (Moore’s law) นั้น เป็นพื้นฐานของแนวคิดในการลดต้นทุนการผลิตสำหรับอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น และกินไฟต่ำลง ตามที่ผู้บริโภคคาดหวัง
เรเน่ ยังย้ำว่าอินเทล ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีแบบ SoC หรือ System on Chip รวมถึงอุปกรณ์เชื่อมต่อ และการสื่อสารในหลากหลายรูปแบบ สำหรับแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนในหลากหลายกลุ่มราคาและสามารถทำงานได้บนหลากหลายระบบปฏิบัติการ เรเน่ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าอินเทลมีแท็บเล็ตอีกกว่า 130 รุ่น ที่มีวางจำหน่ายหรือกำลังจะเปิดตัวภายในปีนี้ จากหลากหลายผู้ผลิตทั่วโลก โดยในงาน คอมพิวเท็กซ์ครั้งนี้ มีการเปิดตัวแท็บเล็ตที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของอินเทลมากกว่า 12 รุ่น โดยพร้อมวางจำหน่ายแล้ว โดยส่วนใหญ่ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ และร้อยละ 35 ของแท็บเล็ตที่ใช้ อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์นั้น จะมาพร้อมกับโซลูชั่นทางการสื่อสารของอินเทลอีกด้วย
เรเน่ยังกล่าวด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม 6-capable Intel® XMM™ 7260 LTE-Advanced platform (6-capable อินเทล® เอ็กซ์เอ็มเอ็ม™แอลทีอี-แอ็ดว๊านซ์ แพล็ตฟอร์ม) นั้น มีการส่งมอบเพื่อให้ทดลองการทำงานได้แล้ว ซึ่งทำให้อินเทลก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของตลาดนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ในอุปกรณ์ที่จะวางจำหน่ายจริงในไม่กี่เดือนข้างหน้า
ยัง หลิว ผู้บริหารจากฟ็อกซ์คอนน์* ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับ เรเน่ และประกาศเปิดตัวแท็บเล็ตที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังอินเทลมากกว่า 10 รุ่น โดยบางรุ่นเริ่มมีวางจำหน่ายแล้ว โดยครอบคลุมตั้งแต่ราคาระดับเริ่มต้น ไปจนถึงรุ่นที่เน้นประสิทธิภาพสูง แท็บเล็ตเหล่านี้จะใช้ อินเทล® อะตอม™โปรเซสเซอร์ เอสโอซี ชื่อรหัส “Bay Trail” (เบย์ เทรล) และ “Clovertrail+ พลัส” (โคลเวอร์เทรล) และยังมีอีกหลายรุ่นที่มาพร้อมกับความสามารถในการรับสัญญาณ 3G หรือ LTE อีกด้วย
และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนา SoC สำหรับสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตในราคาระดับเริ่มต้น ซึ่งจะนำออกสู่ตลาดในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เรเน่ ได้สาธิตการใช้สมาร์ทโฟนต้นแบบที่ใช้อินเทล SoFIA 3G โซลูชั่น แบบ ดูอัลคอร์ นอกจากนี้ อินเทล ยังเตรียมจะนำอินเทล SoFIA LTE (โซเฟีย แอลทีอี) แบบคว๊อดคอร์ สู่ตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อินเทล ได้ประกาศเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์กับ Rockchip เพื่อนำเทคโนโลยี อินเทล โซเฟีย 3G แบบคว๊อดคอร์ ไปใช้ในแท็บเล็ตสำหรับกลุ่มผู้เริ่มใช้งาน ซึ่งก็มีกำหนดวางจำหน่ายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้าเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ เรเน่ ยังได้เผยโฉมโน้ตบุ๊กต้นแบบที่ไม่มีพัดลมระบายความร้อนซึ่งใช้สถาปัตยกรรม 14 นาโนเมตร จากอินเทล โดยมีความบางเพียง 7.2 มิลลิเมตร มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 12.5 นิ้ว และน้ำหนักเบาเพียง 0.67 กิโลกรัม โดยมาพร้อมกับคีย์บอร์ดแบบถอดได้และแท่นวางสำหรับใช้ชมมัลติมีเดีย โดยจะใช้เป็นตัวระบายความร้อนพร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น โดยเครื่องต้นแบบนี้ สร้างขึ้นเพื่อใช้งานกับ โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของอินเทล ชื่อรหัส บรอดเวลล์ (Broadwell) ซึ่งมีขนาด 14 นาโนเมตร ผลิตมาสำหรับอุปกรณ์ทูอินวัน ที่จะวางจำหน่ายปลายปีนี้ Intel® Core™ M Processor (อินเทล® คอร์™ เอ็ม โปรเซสเซอร์) ถือเป็นตัวประมวลผลที่มอบประสิทธิภาพสูงสุดในตระกูล คอร์ นับตั้งแต่เคยผลิตมา1 โดยอุปกรณ์ที่ใช้ตัวประมวลผลรุ่นนี้ จะไม่มีพัดลมระบายความร้อน โดยจะติดตั้งทั้งในแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูง และแล็บท็อปที่บางเฉียบ
อินเทล ยังคงให้ความความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการการใช้งานพีซีที่มีประสิทธิภาพขั้นสูง โดยได้เปิดตัว Intel® Core™ i7 and i5 Processor (อินเทล® คอร์™ ไอเซเว่น และ ไอไฟว์ โปรเซสเซอร์) เจเนอเรชั่น 4 ในตระกูล K ซึ่งถือว่าเป็นตัวประมวลผลตัวแรกที่ ทำงานแบบสี่คอร์ และแต่ละคอร์สามารถทำงานด้วยความเร็ว 4Ghz ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำงานที่มีประสิทธิภาพขั้นสูง และต้องการ Overclock โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะเริ่มวางจำหน่ายต้นเดือนมิถุนายน ปีนี้
และสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการประมวลผลข้อมูลขั้นสูง เรเน่ได้เปิดตัว Intel® Solid-State Drive Data Center Family for PCIe (อินเทล® โซลิด-สเต็ท ไดร์ฟ ดาต้า เซ็นเตอร์ แฟมิลี่) ซึ่งสามารถรับมือกับข้อมูลอันมหาศาล โดยให้ความเสถียรและความปลอดภัยต่อข้อมูล ซึ่งจะสามารถช่วยลดต้นทุนได้ โดยผลิตภัณฑ์นี้ จะมีวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
เรเน่ กล่าวว่า การที่เทคโนโลยี จะสามารถมอบประสบการณ์ใช้งานเฉพาะบุคคลได้มากขึ้นนั้น มันต้องเข้าใจมนุษย์ในระดับที่สามารถที่จะโต้ตอบกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธออธิบายถึงความร่วมมือที่จะนำ เทคโนโลยี Intel® RealSense™ technology (อินเทล® เรียลเซ้นส์™ เทคโนโลยี) และ กล้อง 3 มิติ มาใส่ในกลุ่มอุปกรณ์ทูอินวัน ออลอินวัน แท็บเล็ต รวมถึงอุปกรณ์ประมลผลส่วนบุคคลอื่นๆ โดยจะมีชุดซอฟท์แวร์สำหรับนักพัฒนาเทคโนโลยี RealSense ออกมาในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2557 เพื่อให้เหล่านักพัฒนาได้คิดค้นการใช้งานที่เป็นธรรมชาติ และโต้ตอบกับผู้ใช้งานอย่างฉลาดมากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการสนับสนุนที่อินเทลมีต่อชุมชนนักพัฒนาโปรแกรม อินเทลจะจัดการแข่งขัน Intel RealSense App Challenge 2014 เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการแข่งขันช่วงแรกจะเริ่มในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้