กรุงเทพฯ--16 มิ.ย.--IR network
บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดเกมรุกธุรกิจโรงพ่นสี หลังจากทุ่มงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดเปิดตัวโรงพ่นสีที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จ.ชลบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดปี”58 กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท “วิวรรธน์ เหมมณฑารพ”หมายมั่นปั้นมือภายใน 5 ปี สร้างยอดขาย 800-1,000 ล้านบาท หนุนธุรกิจในช่วง 3 ปีจากนี้ไปโตปีละ 10-15% ตามแผน คาดแนวโน้มธุรกิจปีหน้ากลับมาสดใส หลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย คสช. เคลียร์หนี้จำนำข้าว-ลุยโครงการเมกะโปรเจกต์ กระตุ้นกำลังซื้อ ลงทุนภาครัฐ-เอกชนขยับ
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) (PJW) เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2558-2560) บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตปีละ 10 -15% โดยธุรกิจโรงพ่นสีจะเข้ามามีส่วนสำคัญให้รายได้ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากในช่วงที่ 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้ทุ่มเงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี ซึ่งล่าสุดในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาได้เปิดไลน์การผลิตเรียบร้อยแล้ว และมีออร์เดอร์ลูกค้าจาก บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเซีย แอนด์ โอเซียเนีย จำกัด เข้ามาแล้ว คาดว่าในปีนี้จะมีรายได้จากโรงงานพ่นสีประมาณ 40 ล้านบาท ส่วนในปี 2558 รายได้จะโตแบบก้าวกระโดดเป็น 200 ล้านบาท หากมีการใช้กำลังการผลิตเต็มที่ (Full Capacity) จะสร้างรายได้ 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งทีมงานบริหารตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี
“อนาคตธุรกิจโรงพ่นสีจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย และทำให้สัดส่วนรายได้ในส่วนของธุรกิจชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 15-25% ของรายได้รวม จากเดิมอยู่ที่ระดับ 13-15% ของรายได้รวม และคาดว่าธุรกิจโรงพ่นสีจะถึงจุดคุ้มทุนที่เพียงพอค่าใช้จ่ายโรงงานพ่นสีที่เพิ่มขึ้นภายในปีหน้า และผ่านจุดคุ้มทุนภายใน 5 ปี ”นายวิวรรธน์ กล่าว
นายวิวรรธน์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2556 ต่อเนื่องจนถึงปี 2557 ได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพื่อรองรับการเติบโต ทั้งในด้านขยายกำลังการผลิต ลดต้นทุน ซื้อเครื่องจักร ทดแทนของเก่า และมุ่งเน้นการสรรหาและพัฒนาบุคลากร ทั้งในส่วนของการจัดการ เทคนิคการผลิต และการตลาด เพื่อเสริมประสิทธิภาพ เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับแนวโน้มรายได้ของบริษัทในปี 2557 คาดว่าจะขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งหลายฝ่ายประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวประมาณ 2-2.5% ส่วนแนวโน้มรายได้ในปี 2558 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเร่งคืนหนี้โครงการรับจำนำข้าวให้กับชาวนา การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) 2 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในการบริโภค การลงทุนฟื้นกลับมา ซึ่งจะทำให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“รายได้ของ PJW ในปีนี้น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส 3 จนถึงต้นปีหน้า หลังจากค่ายรถยนต์ ออกโมเดลรถยนต์ใหม่ๆ ออกมา รวมถึงยอดขายบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยวจะเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าหลังจากการติดตั้งเครื่องจักรเสร็จในไตรมาส 2 ขณะเดียวกันการที่ คสช.เร่งคืนหนี้โครงการรับจำนำข้าวเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายมอเตอร์ไซค์ และยอดขายรถกระบะ รวมถึงกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของธุรกิจชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ บรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น และบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำยาเคมี รวมถึงบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยว ซึ่งในส่วนฝ่ายจัดการมองว่าปีนี้น่าจะรักษาการเติบโตอยู่ที่ 10 -15%”นายวิวรรธน์ กล่าวว่า
นายวิวรรธน์ กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นด้านคุณภาพการให้บริการ และการส่งมอบ ในด้านของบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนยานยนต์ ด้วยประสิทธิภาพ และความสามารถในการบริหารต้นทุน มีหุ้นส่วนทางธุรกิจที่แข็งแกร่งระหว่างเรากับลูกค้า (Partnership) โดยมีการบริหารจัดการด้านความเสี่ยง และโครงสร้างภายในที่สอดรับกับสภาวการณ์ จากผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งมีการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาและปีนี้ ผลประกอบการจะทรงตัว และเติบโตได้ไม่มาก เนื่องจากสภาวะของตลาดในประเทศ ทั้งส่วนของตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ ตลาดน้ำมันหล่อลื่นและตลาดบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำยาเคมี เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอันเนื่องมาจากปัญหาสถานการณ์ทางการเมือง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ก็ทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนปัจจัยการผลิตอื่น ทั้งส่วนค่าแรงและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น และจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มสูงขึ้นของโครงการที่ลงทุนไปแล้วแต่ยังไม่ก่อให้เกิดยอดขายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ทำให้ความสามารถทำกำไรในปีที่แล้วและปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2555 และจะทรงตัวไประยะเวลาหนึ่งจนกว่าจะถึงจุดคุ้มค่าจากการลงทุน ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก กล่าวอีกว่า บริษัทได้วางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมพลาสติกรายใหญ่ของประเทศ ในด้านของการแปรรูปพลาสติกและกระบวนการเป่าขึ้นรูป รวมทั้งเป็นผู้นำในกลุ่มอาเซียน (Regional Leader) รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558 เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรายใหญ่ โดยเฉพาะด้านยานยนต์ ตลอดถึงได้วางเป้าหมายสู่การเป็น World Class Manufacturing อย่างยั่งยืน ด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่ง