กรุงเทพฯ--17 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ยิ่งแค้น ยิ่งรัก
ยิ่งหฤโหด ยิ่งโคตรหฤฮา
จงลืมนิยายรักหฤโหดอันแสนลือลั่นที่คุณเคยรู้จัก
เพราะว่าตลกหน้าเหลี่ยม “หม่ำ จ๊กม๊ก” จะเปิดตำนานรักครั้งใหม่ที่ไม่เหมือนครั้งไหนๆ
จะเป็นยังไง เมื่อเขาต้องพลิกบทบาทเป็น “พิศาล” เอ้ย...ยยย “ชายเถื่อนไร้หัวใจ” ที่ทุกคนต้องอึ้งและฮา
ปะทะ “สาวเมืองกรุงแสนสวยขี้วีน” ที่รับบทโดยนักแสดงสาวหน้าคม “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช”
ตำนานรักครั้งใหม่สุดเข้มข้นที่มีหัวใจเป็นเดิมพัน...กำลังเริ่มต้นขึ้น
ทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งมันส์ ทั้งฮา ด้วยลีลาแบบ 360 องศา
กับภาพยนตร์รักหฤโหด โคตรหฤฮา
10 กรกฎา ฮาปากแตก
ทุกโรงภาพยนตร์
กำหนดฉาย 10 กรกฎาคม 2557
แนวภาพยนตร์ รักหฤโหด โคตรหฤฮา
บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
บริษัทดำเนินงานสร้าง บั้งไฟ ฟิล์ม
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, บุษราคัม วงษ์คำเหลา
กำกับภาพยนตร์ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา
บทภาพยนตร์ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, พิพัฒน์ จอมเกาะ
กำกับภาพ จิระเดช สำเนียงเสนาะ
ออกแบบงานสร้าง บุญชัย อภินทนาพงศ์
กำกับศิลป์ ถนอม นันทวรพงษา
ลำดับภาพ บุญชัย อภินทนาพงศ์
ดนตรีประกอบ คณิศร พ่วงจีน
ออกแบบเครื่องแต่งกาย นิรชรา วรรณาลัย
แต่งหน้า ปริญญา ปานตั้น
ทำผม เชิดศักดิ์ ชมงาม
ฟิล์มแล็บ บริษัท สยามพัฒนาฟิล์ม จำกัด
บันทึกเสียง ห้องบันทึกเสียงรามอินทรา
ทีมนักแสดง เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, สาวิกา ไชยเดช, ลักขณา วัธนวงส์ศิริ, สกาวใจ พูนสวัสดิ์, กัญญาณัท แสงสุข, บุญเจิด นวนสุวรรณ
เรื่องย่อ
เรื่องราวรักสุดเข้มข้น เดี๋ยวก็ “ฮา” เดี๋ยวก็ “โหด” เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ “อู้อี้” (พิงกี้ สาวิกา) หญิงสาวเมืองกรุงสุดไฮโซ ฟื้นขึ้นมาบนเรือลำหนึ่งและพบกับความจริงว่า เธอกำลังถูกลักพาตัวมายังเกาะๆ หนึ่งโดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าใครกันที่จับเธอมาและด้วยเหตุผลอะไรกัน “ทำไมถึงทำกับฉันด้าย...ยยยยยย”
จนเมื่อเรือมาจอดที่เกาะ เธอก็พบว่าคนที่จับเธอมาคือ “นายหัวเพิ่ม” (หม่ำ จ๊กม๊ก) เจ้าของเกาะมาดเถื่อน ผู้ที่จมอยู่กับอดีต และความแค้นที่มีคนมาทำร้ายจิตใจพี่สาวของตนจนเต้องฆ่าตัวตายไป
และนี่คือเหตุผลที่เขาจับตัวอู้อี้มา เพราะต้องการแก้แค้นพ่อของอู้อี้ที่เป็นคนทำร้ายพี่สาวของเขานั่นเอง
อู้อี้ต้องถูกกดขี่ ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ และต้องตกเป็นทาสของนายหัวเพิ่ม ซึ่งนั่นยังไม่ทุกข์ทรมานพอ เพราะเธอยังต้องเจอภัยเสริมจาก “ดอกอ้อ” อดีตแฟนเก่าสุดเร่าร้อนของนายหัวเพิ่ม และ “เจ็ทสกี” หลานสาวสุดเซ็กซี่ของลูกน้องคนสนิท ที่ต่างพากันกลั่นแกล้งเพราะหึงหวงกลัวอู้อี้จะกลายมาเป็นเมียใหม่ของนายหัวเพิ่ม
“กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัว อย่าขังหัวใจดีกว่า”
เมื่อใจสองใจใกล้กัน แม้จะมี “ด่า” มี “ตบ” มี “กระทืบ” กันบ้าง แต่นั่นก็ทำให้นายหัวเพิ่มกับอู้อี้ เริ่มผูกพันกันเกินกว่าคำว่า “เจ้านาย” กับ “ทาส” ติดแต่เพียงทิฐิที่ทั้งคู่ยังก้าวผ่านไม่ได้
ความแค้น ความเกลียดชัง และความรักแบบซาดิสม์ “ตบแล้วจูบ…พูดแล้วรัก” สไตล์ละครหลังข่าว ผสมผสานความฮาของการล้อเลียน ตำนานรักของอสูรผู้นี้จะจบลงที่ทาสรักอย่างไร เธอและเขาจะตามหาหัวใจกันเจอมั้ย...
10 กรกฎาคมนี้ กับ “ทาสรักอสูร...รรรรรร”
ผลงานความฮาลำดับที่ 11 ของ “นายหัวหม่ำ” จัดให้ทั้ง “โหด” ทั้ง “ฮา”
ใครจะเชื่อว่าตลกหน้าเหลี่ยมมากฝีมือ “หม่ำ จ๊กม๊ก” กำลังจะมีผลงานกำกับภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ 11 เข้าไปแล้ว หลังจากมีผลงานกำกับเรื่องแรก “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” ในปี พ.ศ.2547 ก่อนจะมีหนังหลากหลายสไตล์ความฮาให้ผู้ชมได้มีความสุขมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับมากความสามารถที่มีผลงานออกมาสู่สายตาคอหนังมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค
และในปี 2557 นี้ เขากลับมาอีกครั้งกลับหนังที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “หนังรักหฤโหด โคตรหฤฮา” ที่มีชื่อว่า “ทาสรักอสูร” ซึ่งเขาได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ว่า
“มันมาจากการที่เราอยากเปลี่ยนสไตล์ อยากตลกแบบดราม่า ซีเรียสนิดๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบดูหนังไทยเก่าๆ ละครก็ดูบ้าง ก็เลยมาปิ๊งที่สไตล์หนังของพี่เปี๊ยกพิศาล ก็ถือเป็นแรงบันดาลใจของการทำหนังเรื่องนี้นะ ก็เลยคิดว่าเอามาทำเป็นแบบฮาๆ ดีมั้ย เราไม่ต้องใช้คำหรูๆ ใช้คำง่ายๆ ให้อารมณ์เป็นภาพยนตร์รักหฤโหด โคตรมหาฮา ซึ่งเราไม่ได้ตบจูบๆ เหมือนเขา แต่ของเราเป็นคิวแอ็คชั่นเวอร์ๆ สวยๆ แทน
ถามว่าเราจะทำทาสรักอสูรล้อเลียนละครหรือเปล่า ก็ไม่นะ ผมว่าคนละอย่างกันเลย อันนี้มันก็จะทางของเรา ตอนไปเสนอเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) เสี่ยเห็นชื่อแล้วถามว่าเป็นหนังชีวิตหรือเปล่า ผมบอกไม่ๆ เป็นหนังตลก ดราม่า มีโรแมนติกด้วย เนื้อเรื่องอาจมีอิงจากในละครบ้าง แต่ผมจะเล่าใหม่ในทางของผม เราก็มานั่งไล่เรียงว่าจะทำยังไงดี ก็เลยมานั่งคุยกับทีมงานว่าบทมันน่าจะเป็นแบบนี้นะ เราอยากจะทำอะไรให้แตกต่าง คือถ้าเราจะทำให้มันเหมือนเป็นละคร มันก็ไม่ได้ เราต้องทำฟีลภาพยนตร์ที่มันต้องดูหนาๆ กว่านั้น”
หลังจากสร้างตำนานรักรากหญ้า “แหยม ยโสธร” จนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 3 ภาค รวมไปถึงตำนานรักไฮโซ “วงษ์คำเหลา” ที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามไม่แพ้กัน “หม่ำ จ๊กม๊ก” ก็เลยตั้งใจพิถีพิถันทำ “ทาสรักอสูร” ให้มีความพิเศษและแตกต่างจากทุกเรื่องที่เคยทำมา ซึ่งเจ้าตัวพูดถึงความโหดมันฮาที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ว่า
“ผมคิดไว้นานแล้วว่าอยากจะทำหนังรักสไตล์ใหม่ซักเรื่อง เราเคยทำหนังรักๆ แบบคุณชายมาแล้วใน วงษ์คำเหลา เราเคยทำหนังรักบ้านๆ ใน แหยมยโสธร มาแล้ว อันนี้ก็จะออกแนวรักโหดๆ ดูบ้าง คือมีความเป็นหนังรักสไตล์โหดแบบสมัยก่อนอยู่ แต่ก็ใส่ความตลก เพิ่มสีสันของคาแร็คเตอร์ตัวละครไป มีฉากแอ็คชั่น ฉากดีไซน์ ให้มันมีมิติ ด้วยเนื้อเรื่องแล้วผมว่าครบรสนะ โหด มัน ฮา”
“มันเป็นเรื่องราวของนายหัวเพิ่ม ที่มีความแค้นอยู่ในใจ เพราะพี่สาวเขาฆ่าตัวตายไป เพราะโดนผู้ชายที่กรุงเทพฯ หลอก นายหัวเพิ่มก็เลยไปจับลูกสาวเขามาเป็นตัวประกัน ก็ใช้งานเป็นทาส สนองความแค้นกันไป แต่เรื่องนี้มันจะต่างจากในละครเลยนะ คาแร็คเตอร์อู้อี้ที่พิ้งกี้เล่นเนี่ย ไม่ใช่นางเอกในละครเลย แต่เป็นผู้หญิงขีวีน ชอบพูดหยาบคาย แต่พระเอกนี่จะขรึมๆ ไม่พูด ไม่ยิ้มเลย คือตัวละครสองตัวก็ห้ำหั่นกันไป จนเกิดเป็นความรักที่ไม่รู้ตัว แต่ก็มีสองตัวร้ายคือ คุณนายดอกอ้อ กับ เจ็ทสกี ที่หวังเคลมนายหัวเพิ่ม ก็เลยกลั่นแกล้งนางเอก คือนายหัวเพิ่มหล่อมากไง ก็ต้องแย่งกัน ก็สุดท้ายหนังจะลงเอยด้วยความแค้นหรือความรักต้องไปดูกัน”
หลายคนคงอยากรู้ว่า ฉากรักหฤโหดจะถูกดีไซน์ออกมาแบบไหน ในทางของผู้กำกับหม่ำ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าคงต้องลืมนิยายรักฉบับเดิมๆ ไปได้เลย เพราะในเรื่องนี้เขาขอจัดให้แบบทั้งมันทั้งฮาด้วยลีลาแบบ 360 องศา เลยทีเดียว
“ก็อยากให้นึกถึงหนัง พี่พันนาไว้เลย (พันนา ฤทธิไกร ปรมาจารย์นักบู๊อันดับหนึ่งของเมืองไทย) อารมณ์นั้นเลย พิ้งกี้มากองบางทียังงงเลย บอกนี่มันหนังแอ๊คชั่นรึเปล่าน้าหม่ำ แล้วพิ้งกี้นี่โดนสารพัดเลยนะ ผมก็โดนถีบทะลุหลังคาออกมาเลยก็มี แล้วก็มีฉากสามสาวรุมตบกัน (พิ้งกี้-อุ้ม-อ๋อม) ก็แอ็คชั่นเต็มๆ เลยนะฉากนี้มีสลิง มีการวางแผนกันนาน เราก็ดีไซน์ไม่ให้ออกมาเป็นฉากตบธรรมดา อารมณ์เหมือนหนังโจวชิงฉือนิดๆ มีขึ้นสลิง กระโดดตบเหมือนแข่งวอลเล่ย์บอลเลย ก็ทั้งพิ้งกี้, อุ้ม, อ๋อม เขาก็ต้องมีขึ้นสลิง แล้วแต่ละคนนี่ไม่เคยต้องมาแอ็คชั่นอะไรแบบนี้เลย แล้วถ่ายกันตั้งแต่เช้ายันเย็น ถ่ายยากนะฉากนี้ ลองดูในหนังกัน ส่วนผมกับพิ้งกี้ก็มีปะทะคารมกันตลอด ก็โดนเขาด่าต่างๆ นานา แต่ละคำนี่อื้อหือ แล้วเวลาทะเลาะกันอยากให้นึกถึงหนังพี่พันนาไว้ แบบนั้นเลย ลองไปดูกัน”
ทีมรักหฤโหด โคตรหฤฮา
นายหัวเพิ่ม (รับบทโดย เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) - ชายผู้มีจิตใจอ่อนไหว สุภาพในคำพูด ก้าวร้าวในการกระทำ รักในศิลปะการวาดภาพจนถึงศิลปะการต่อสู้ เขาจมอยู่กับอดีตรักแสนขม และความแค้นที่มีคนมาทำร้ายจิตใจพี่สาวจนฆ่าตัวตาย จึงออกตามล่าหาคนๆ นั้น แต่กลับได้ อู้อี้ ลูกสาวเขากลับมาแทน
หลายคนคงลุ้นว่าผลงานหนังเรื่องใหม่ของ “หม่ำ จ๊กม๊ก” จะสวมบทบาทเป็นใคร และคาแร็คเตอร์แบบไหน เพราะแทบทุกบทบาทของเขานั้นเรียกเสียงฮาจากบรรดาแฟนๆ ได้ทุกครั้งไป และใน “ทาสรักอสูร” เขาถึงกับต้องพลิกบทบาทเป็น “พิศาล” เอ้ย...ยยย “ชายเถื่อนไร้หัวใจ” ที่ชื่อว่า “นายหัวเพิ่ม” ซึ่งถือเป็นบทบาทที่มีบุคคลิกใกล้เคียงตัวจริงของเขาอยู่ไม่น้อย กับมาดหัวหน้าใหญ่ที่ใครก็ต้องยำเกรง แต่งานนี้เจ้าตัวถึงกับโอดว่าบทนี้มันไม่ง่ายเอาซะเลย
“นายหัวเพิ่มเป็นเจ้าของเกาะ เป็นคนที่จริงจังแต่ว่าก็มีความจริงใจนะ แต่ด้วยความที่มีอดีตฝังใจเรื่องการตายของพี่สาว ก็เลยทำให้เป็นคนเคร่งขรึม ก็ถือว่าเป็นบทที่เครียดเหมือนกันนะ ทั้งเรื่องไม่ได้ยิ้มเลย ลุคก็จะเข้มๆ อาร์ติสต์ ศิลปินหน่อยๆ ต้องมีการติดหนวดติดเครา ใส่วิกผมยาว บุคลิกออกแนวเถื่อนๆ แล้วหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ใต้ ก็เลยต้องมีพูดใต้กันบ้าง ปกติก็พูดใต้ได้ประมาณนึงอยู่แล้ว โชคดีที่เคยไปอยู่ใต้มาก่อน ไปอยู่กับแม่ที่พังงา ก็พอได้อยู่”
นอกจากงานนี้เราจะได้เห็นฉากรักหฤโหดในสไตล์ของนายหัวหม่ำแล้ว เรายังได้สัมผัสรสชาติความแค้นและความรักของสองพระนางที่รับรองว่าเข้มข้นกว่ารสชาติละครหลังข่าวที่คุณคุ้นเคย อย่างในฉากเลิฟซีนระหว่าง “หม่ำ-พิ้งกี้” ที่กว่าจะได้ฉากนี้ผู้กำกับหม่ำต้องตัดสินใจอยู่นาน ด้วยความที่เป็นคนขี้อายสุดๆ แถมยังเกรงใจภรรยาสุดที่รัก ไหนจะยังมี “น้องเอ็ม บุษราคัม” ลูกสาวสุดที่รัก ที่คุณแม่ส่งมาคุม เอ้ย..ไม่ใช่ มาสวมตำแหน่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้คุณพ่อเต็มตัวครั้งแรกอีก บอกได้คำเดียวว่าฉากนี้ผู้กำกับทำใจลำบากเหลือเกิน
“ต้องบอกเลยว่าเกร็งมาก เขินมากกับฉากนี้ ก็คุยกับทีมงานว่าไม่เอาได้มั้ย ทีมงานก็รู้ว่าถ้าถ่ายฉากนี้เนิ่นๆ ผมไม่เอาแน่ ก็เลยเอาไว้วันสุดท้ายเลย เราก็ไม่คอยอยาก เพราะเกรงใจพิ้งกี้ แต่ทีมงานบอกมันต้องมี ตัวพิ้งกี้เค้าเฉยๆ ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว แต่เราไม่ชอบกอดชอบเล่นฉากเลิฟซีนอะไรแบบนี้กับนางเอกอยู่แล้ว คือพอมันกอดแล้วมันไม่มั่นใจในตัวเอง มันอาย พิ้งกี้ก็บอกว่าน้าหม่ำเต็มที่เลย แต่เราก็อ๊ายอายที่พิ้งกี้พูดแบบนี้ เราก็บอกน้าขอทีเดียว เทคเดียวเลย ให้พิ้งกี้ตั้งใจนะ แล้วก็เทคเดียวผ่านเลย”
อู้อี้ (รับบทโดย สาวิกา ไชยเดช) - หญิงสาวชาวเมืองสุดไฮโซ สาวมั่นกล้าในทุกๆ เรื่อง ไม่เคยกลัวใคร เป็นคนตรงและปากจัด ถึงระดับปากหมาเลยทีเดียว ชอบพูดคำหยาบจนเป็นนิสัย นายหัวเพิ่มลักพาตัวอู้อี้มาเพื่อแก้แค้น โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรไว้ ถึงมาทำได้กับเธอขนาดนี้
ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สุดๆ เมื่อ “ทาสรักอสูร” ไปคว้านักแสดงสาวฝีมือคับแก้วอย่าง “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรก ซึ่งงานนี้สาวพิ้งกี้ต้องมาพลิกบทบาทชนิดช็อกวงการแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน กับบท “อู้อี้” หญิงสาวขี้วีนปากจัดที่ถูกจับมาชดใช้ความแค้นของนายหัวเพิ่ม เรียกว่าสลัดคราบนางเอกละครที่คุ้นตากันไปเลย
“อู้อี้ก็จะเป็นเหมือนลูกคุณหนูเอาแต่ใจคนหนึ่ง อารมณ์นางเอกหนังไทยที่ต้องโดนจับเป็นตัวประกัน เพราะเกิดความเข้าใจผิด ที่กี้มีโอกาสได้มาร่วมงานกับพี่หม่ำ คือน้องเอ็มลูกสาวพี่หม่ำเป็นเพื่อนกับกี้ เขามาชวนว่ามาเล่นหนังของพ่อเรามั้ย ชื่อเรื่อง ‘ทาสรักอสูร’ ต้องเล่นคู่กับพี่หม่ำ เขาก็บอกเราว่าเป็นหนังรักฮาๆ อารมณ์ตบจูบๆ เหมือนละครอาเปี๊ยก พิศาล คือแค่ได้ยินชื่อเรื่องก็เห็นภาพแล้ว กี้ก็ตอบรับเล่นเลย ไม่คิดมาก รู้สึกดีใจค่ะ เคยร่วมงานกันตอนที่กี้ยังเด็ก เวลาผ่านไป ได้มาเล่นคู่กัน ก็ชอบหนังสไตล์พี่หม่ำอยู่แล้ว ก็ขอบคุณที่พี่หม่ำเลือกมาเล่นเรื่องนี้”
งานนี้สาวพิ้งกี้ยังต้องเจอผู้กำกับหม่ำจัดหนักกับฉากรักหฤโหดในเรื่องที่รับรองทุกคนต้องทึ่งกับการทุ่มสุดตัวของเธอในหนังเรื่องนี้ แม้จะต้องสลัดลุคนางเอกมาเล่นเป็นสาวขี้วีนปากจัดในแบบที่ทุกคนต้องอึ้งทึ่งฮา
“อู้อี้เป็นผู้หญิงที่ภายนอกดูสวยงาม แต่จริงๆ แล้วปากจัดมาก เรียกได้ว่าปากหมาเลย (หัวเราะ) คือพูดแบบขุดคำอะไรออกมาด่าไปเรื่อย คือปากจัดมาก ด่าเก่งมาก แล้วก็เป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเอง เพราะอยู่ในครอบครัวที่รวย ก็ถือว่าแตกต่างจากที่เคยเล่นมามากค่ะ แล้วก็เรื่องนี้ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน ได้ทำอะไรที่บ้าๆ บอๆ พี่หม่ำเค้าให้หนูทำอะไร ก็ทำหมด อย่างตอนที่โดนพี่หม่ำเตะ เดี๋ยวฝ่าเท้า ฝ่ามืออรหันต์ พอเสร็จก็เงยหน้ามาแล้วตาก็เหล่ แล้วก็ต้องคลานเป็นหมา แล้วก็มีฉากที่ต้องทำอะไรๆ ตลกเยอะเลย อันนั้นคือความแตกต่างที่กี้ไม่เคยเล่น ผู้ชมจะได้เห็นเราในมุมที่แบบเออ...ก็ทำไปได้นะ หรือคำด่าในหนังนี่ไม่เคยได้ยิน คือมันจะมีคำแปลกๆ พี่หม่ำก็จะมีคำหรือไอเดียที่โลดแล่นอยู่ตลอด ต้องยอมความอัจฉริยะของพี่หม่ำเลยค่ะ”
ดอกอ้อ (รับบทโดย สกาวใจ พูนสวัสดิ์) - ม่ายสาวพราวเสน่ห์ แฟนเก่าที่เคยทิ้งนายหัวเพิ่มไปแต่งงานกับมหาเศรษฐี ซึ่งหวนกลับมาหาเพื่อจะพิชิตใจนายหัวเพิ่มให้ได้ แต่ติดตรงอุปสรรคใหญ่คือ หญิงสาวแสนสวยที่ถูกจับมาจากกรุงเทพฯ นั่นเอง
ใน “ทาสรักอสูร” นอกจากเราจะได้เห็นการเชือดเฉือนอารมณ์แบบถึงพริกถึงขิงของสองพระนาง “หม่ำ-พิ้งกี้” แล้ว ผู้กำกับหม่ำยังดีไซน์สองตัวละครสำคัญ ที่เข้ามาสร้างสีสันให้ความหฤโหด โคตรมหาฮาเข้มข้นขึ้นไปอีก โดยไปคว้าเอาสองดาวร้ายขวัญใจแม่ค้าตัวท็อปของประเทศอย่าง “อ๋อม-สกาวใจ พูนสวัสดิ์” และ “อุ้ม-ลักขณา วัธนวงส์ศิริ” ที่มารับบทสองสาวมาเป็นเสี้ยนหนามในตำนานรักครั้งนี้
เริ่มจากสาว “อ๋อม สกาวใจ” การกลับมาอีกครั้งของดาวร้ายหน้าสวย ขวัญใจแม่ค้าทั่วไทยที่จะทั้งร้าย ทั้งฮา ทั้งสวย ในแบบที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหน ซี่งผู้กำกับหม่ำพูดถึงตัวละครตัวนี้ว่า
“ได้สองคนนี้มาเล่นถือว่าลงตัวเลย คือตัวละครของดอกอ้อกับเจ็ทสกีจะพยายามแย่งนายหัวเพิ่มกัน อย่าง อ๋อมรับบทเป็นดอกอ้อ เป็นแฟนเก่าที่กลับมาง้อขอคืนดี จะร้ายแบบจอมวางแผนหน่อย อ๋อมถึงจะมาจากสายละคร แต่พอมาเล่นหนังเขาก็ทำได้ดี คือร้ายออกตาออกหน้าเลย ในเรื่องดอกอ้อก็จะมีเอกลักษณ์ คือหัวเราะแบบแม่มด คือหัวเราะแบบลากยาว อ๋อมเขาเล่นเป็นธรรมชาตินะ คือดูแล้วคิดว่าเขาเป็นคุณนายดอกอ้อจริง”
ทางด้านของดาวร้ายหน้าสวย “อ๋อม สกาวใจ” ก็พูดถึงสาเหตุที่ตัดสินใจโดดมาเล่นหนังเต็มๆ ครั้งแรกในชีวิต ว่าเป็นเพราะหลงเสน่ห์ เอ้ย...ชื่นชอบในผลงานของผู้กำกับหม่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมคาแร็คเตอร์ดอกอ้อก็เป็นสไตล์ที่สาวอ๋อมถนันดอยู่แล้ว
“ก็มีน้องทีมงานโทรมาหา บอกว่าพี่หม่ำจะทำหนังเรื่องใหม่แล้วอยากให้เรามาเล่น เราก็ตกใจเพราะว่าปกติเราไม่ได้มาทางสายหนัง เราก็จริงเหรอ พี่หม่ำชวนมาเล่น คือใจตกลงรับเล่นไปแล้ว เรามั่นใจในพี่หม่ำด้วย เพราะว่าเราก็ดูหนังพี่หม่ำทุกเรื่องเลย เราก็ถามพี่หม่ำว่าคาแร็คเตอร์ดอกอ้อเป็นยังไง พอพี่หม่ำเล่าคร่าวๆ ให้ฟังก็อยากเล่นเลย ก็ไม่รู้พี่หม่ำเห็นอะไรในตัวอ๋อมนะ อ๋อมอาจจะมีเอกลักษณ์ที่ดูตลกดี ก็ไม่ว่าจะทำอะไรก็หัวเราะตลอดเวลา หัวเราะแบบไร้สาเหตุ จริงๆ แล้วเราเป็นคนอารมณ์ดีแล้วก็ชอบหัวเราะอยู่แล้ว ในหนังเวลามีอะไรสมใจนึกก็หัวเราะไป ก็เหมือนคนบ้าดี”
เจ็ทสกี (รับบทโดย ลักขณา วัธนวงส์ศิริ) - แม่บ้านสาวอีกคนของเกาะผู้เป็นหลานสาวของนายฟู (ลูกน้องคนสนิทของนายหัวเพิ่ม) เจ็ทสกีเป็นสาวสวยสุดซิ่งของเกาะ ผู้ปรารถนาจะครอบครองตำแหน่งคุณนายของเกาะ เฝ้าตามคอยเอาใจและปรนนิบัติมาตลอดหลายปี แต่ต้องมาเจอคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างอู้อี้และคุณนายดอกอ้อ เจ็ทสกีเลยถือคติใครดีใครได้ ใครพลาดซ้ำให้ตาย เพราะเป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน
สำหรับสาว “อุ้ม ลักขณา” คงไม่ต้องบรรยายถึงความเร่าร้อนเซ็กซี่ของเธอ เพราะเป็นถึงเซ็กซี่สตาร์ตัวแม่ของเมืองไทย งานนี้เลยไปเตะตาโดนใจผู้กำกับหม่ำเข้าอย่างจัง เพราะเหมาะมากรับบท “เจ็ทสกี” สาวสก๊อยประจำเกาะที่งัดไม้ตาย ทั้งออดทั้งอ้อน ทั้งยั่วทั้งยวนนายหัวเพิ่มแบบสุดตัว ซึ่ง “หม่ำ จ๊กม๊ก” พูดถึงอุ้มและบทบาทนี้ว่า
“อุ้มในเรื่องชื่อเจ็ทสกี เป็นหลานคนใช้ในเกาะ เจ็ทสกีก็จะร้ายแบบน่ารักๆ ใช้เสน่ห์ยั่วยวนนายหัวเพิ่ม เพราะอยากเป็นเจ้าของเกาะ อุ้มเขาทุ่มสุดตัวจริงนะ ก็จะมีถึงเนื้อถึงตัว บางทีก็เอาหน้าอกมาถูหลังอย่างเนี่ย เราก็อุ้ยตายๆ ผมว่าเวลาอุ้มกับอ๋อมเข้าฉากกัน เวลาต่อปากต่อคำกันมันดูเข้าขากันดีนะ แล้วอุ้มเนี่ยเขาเป็นมืออาชีพสูงมาก ให้ใส่ชุดอะไร ให้ทำท่าทางอะไร จัดให้หมด ในเรื่องอุ้มมีต้องเต้นโพลแดนซ์ ลองไปดูกันเหมือนมืออาชีพเลยนะ ทั้งที่ไม่มีเวลาซ้อม เล่นเอาทีมงาน ทีมไฟ ตาสว่างกันเลย”
ทางด้านสาวอุ้มก็ออกมายอมรับเลยว่า อยากร่วมงานกับผู้กำกับหม่ำมานานแล้ว และหลังจากที่ได้อ่านบท เจ้าตัวก็ตัดสินใจมาสวมบท “เจ็ทสกี” แบบทันที งานนี้หนุ่มๆ คงต้องอิจฉา “นายหัวหม่ำ” เอ้ย “นายหัวเพิ่ม” กันถ้วนหน้า
“พอได้มาทำงานด้วยกันกับพี่หม่ำก็คนละอารมณ์กับที่เราเคยเจอแกข้างนอกเลย เวลาที่พี่หม่ำกำกับจะดูเครียดมาก คือแกมีสมาธิกับงานสูงมาก เวลาหน้างานเราก็ต้องมีสมาธิมากๆ เพราะพี่หม่ำจะเสริมมุกสดอยู่ตลอด เราก็ต้องฟังแล้วก็ถ่ายทอดตามที่พี่หม่ำต้องการ ซึ่งอุ้มเองก็มีพื้นฐานในการเล่นซิตคอมมาอยู่แล้ว ก็เลยเล่นตลกไม่ค่อยยากเท่าไหร่ แล้วอุ้มก็เป็นคนที่เต็มที่อยู่แล้วบ้าๆ บอๆ พอเราแสดงให้พี่หม่ำดู แกก็บอกอุ้มเล่นได้นะ เราก็ดีใจเลยหายเกร็ง ก็อย่างฉากแรกที่ต้องเล่นคู่กับพี่หม่ำ แล้วเราต้องไปลวนลามเขา กลายเป็นว่าพี่หม่ำเกร็งเรามากกว่าซะงั้น (หัวเราะ)”
เชิญ “นายหัวหม่ำ” ลงทัณฑ์บัญชา ให้สมอุรา ให้สาแก่จายยยยยย
อยู่ในวงการมาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวน้อย เล่นหนังเล่นละครมาก็ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่สาว “พิ้งกี้ สาวิกา” ต้องเจอกับบทบาทที่โหดแสนโหดเหมือนในหนัง “ทาสรักอสูร” เพราะในเรื่องนี้ต้องโดนผู้กำกับหม่ำจัดหนักแล้วจัดหนักอีก ตั้งแต่วันแรกของการถ่ายทำจนถึงวันสุดท้าย ทั้งโดนแต่งหน้าเละเป็นคนบ้า ร่างกายสะบักสะบอม แถมยังต้องตกเป็นทาสรักที่ถูกปู้ยี่ปู้ยำทั้งร่างกายและจิตใจ แต่งานนี้สาวพิ้งกี้ขอทุ่มสุดตัวยอมเป็นจำเลยให้แบบเต็มที่ จนนายหัวหม่ำและทีมงานยังต้องยกนิ้วให้
“โอ้โห ต้องเรียกว่าโดนปู้ยี่ปู้ยำดีกว่า (หัวเราะ) ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มถ่าย ต้องอยู่บนเรือ แล้วมันเหนื่อยมาก คือมันเริ่มจากการแต่งหน้าสวย แต่ต้องทำเลอะ อายไลเนอร์ดำ ทุกอย่างเปื้อน สภาพไม่มีที่ติเลย แล้วผมนี่ยุ่งไปหมด เราก็รู้สึกชอบที่มันไม่ต้องสวย ดูเลอะๆ พอเสร็จจะเริ่มถ่าย เราก็อ่านบทมาเตรียมพร้อม พอมาถึงตัดทิ้งเลย เอาแบบสดๆ แล้วก็เอาคำพูดของพี่หม่ำทุกคำเลย แล้วคำพูดแต่ละคำเนี่ยสุดๆ คือเราไม่เคยด่าคนมาก่อน คือคำแต่ละคำเราไม่เคยได้ยินบนโลกนี้ จำได้ว่าถ่ายเสร็จเนี่ยลงไปนอนแผ่เลย การด่าคนนี่มันไม่ง่ายเลยนะคะ แถมฉากบู๊ก็โดนทั้งถีบทั้งต่อย ต้องแต่งหน้าเป็นคนบ้า ต้องสวมบทเป็นทาส ขัดรองเท้า กรีดยาง โอ้โหสารพัด เหนื่อยมาก แต่สนุกมากค่ะ”
ความในใจของชมรมคนรัก “นายหัวเพิ่ม” (หม่ำ จ๊กม๊ก)
“พี่เพิ่มของน้องอ้อ...อออ แค่เห็นเคราอ้อก็ละลายแล้ว อ้อยังไม่เคยลืมลีลา เอ้ย...ลืมกอดของพี่เพิ่มเลยนะคะที่รัก อ้อมันเลวเองที่ทิ้งพี่เพิ่มไป อ้อสำนึกผิดแล้ว ดีกันนะ เดี๋ยวจุ๊บแก้มทีนึง รักพี่เพิ่มมาก ไม่นอกจาย...ยยยด้วย”
“พ่อยอดทูนหัวของเจ็ท เจ็ทน่ะช้อบชอบ เวลานายหัวมองเจ็ทด้วยสายตาหื่นๆ เหมือนจะกลืนกินเจ็ทเข้าไป เจ็ทยอมนายหัวเสมอนะคะ จะทำอะไรกับเจ็ทก็เชิญ เจ็ทยอม มาเป็นของเจ็ทนะคะนายหัว”
“ฟูรักนายหัวจังฮู้ ที่มีชิวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะนายหัวเพิ่มแท้หลาว เรียกว่าตายแทนได้เลยนะ เป็นห่วงนายหัวมาก กินเหล้าทุกวัน อยากให้นายหัวกลับมาเป็นคนเดิม”
“ถึงแม้นายหัวของหนวกจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่หนวกก็ทำได้ทุกอย่างตามที่นายหัวสั่ง หนวกจำได้ว่าเคยทำผ้าถุงหลุดต่อหน้านายหัว หนวกอายมากเลย เพราะนอกจากผัวหนูก็ไม่เคยมีใครเห็นหนูแก้ผ้ามาก่อน”
“ไอ้เพิ่ม ไอ้เลว มึงจับกูมาทำไม กูไม่รู้จักมึงเลย กูทำอะไรผิด ไอ้ๆๆ ไอ้หน้าสาหร่าย ไอ้ข้อศอกหมา ไอ้หน้าคางคก ไอ้ฝาชักโครก ไอ้มะเร็งระยะสุดท้าย ไอ้ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ไอ้... ฯลฯ”
บันทึกผู้กำกับ (Director’s Note)
เรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องที่ 11 แล้ว เผลอแป๊บเดียว ตั้งแต่ทำ “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” (2547) ยังจำตอนที่ทำเรื่องแรกได้อยู่เลย เหมือนเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เหมือนเราได้ทำตามความตั้งใจ เพราะเล่นหนังมาก็เป็นหลายสิบเรื่อง ไปเล่นหนังให้เขาก็คันไม้คันมืออยากทำหนังเองบ้าง ก็ต้องขอบคุณเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) มากครับที่ให้โอกาส ให้ตลกอย่างผมได้ทำหนัง ก็จากเรื่องแรกมาถึงเรื่องล่าสุด “ทาสรักอสูร” (2557) นี่ก็สิบปีพอดีในการเป็นผู้กำกับหนังนะ ทำมาก็หลากแนวหลายรูปแบบ เรื่องนี้ก็เป็นแนว “หนังรักหฤโหด โคตรหฤฮา” ที่ผมก็ตั้งใจทำเต็มที่เพื่อให้ผู้ชมได้สนุกเฮฮากัน
ก็ต้องขอบคุณพ่อแม่พี่น้องหลายๆ เด้อที่คอยไปดู ไปชม ไปเชียร์ และชอบหนังหลายๆ เรื่องของผมกัน ก็ยังจะมีเรื่องใหม่ๆ ให้ดูกันอีกแน่นอน หนังตลกสไตล์หม่ำคนนี้ แต่ต้องไปดูเรื่องนี้กันก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้าเด้อ...
เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา
ผู้กำกับภาพยนตร์รักหฤโหด โคตรหฤฮา “ทาสรักอสูร”
ผลงานกำกับภาพยนตร์ของ “หม่ำ จ๊กม๊ก”
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม (2547), แหยมยโสธร (2548), บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550), หม่ำเดียว หัวเหลี่ยมหัวแหลม (2551), วงษ์คำเหลา (2552), แหยมยโสธร 2 (2552), โป๊ะแตก (2553), จั๊กกะแหล๋น (2554), ใหม่กะหม่ำ โดนกะโดน (2554), แหยมยโสธร 3 (2556), ทาสรักอสูร (2557)