กรุงเทพฯ--18 มิ.ย.--One-Nine Media
กระแส “สวยสั่งได้ด้วยศัลยกรรม” ยังแรงดีไม่มีตก เพราะด้วยวิทยาการทางการแพทย์ ที่ก้าวหน้า จึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความงามให้กับสาวยุคใหม่มาตลอดแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจกล้าเลือกศัลยกรรมแบบวิธีการผ่าตัด แม้ปัจจุบันวิวัฒนาการจะก้าวไกลชนิดทำแล้วแทบไม่เห็นแผลเป็น แต่บางรายก็ยังนิยมเลือกสวยทางลัด โดยเฉพาะการฉีดสารเติมเต็ม หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “ฟิลเลอร์” ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะเห็นผลเร็ว และไม่เจ็บเหมือนกับการผ่าตัดศัลยกรรม แต่ก็มีข่าวครึกโครมให้เห็นอยู่บ่อยๆ ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ซิลิโคนเหลว มาจนถึงล่าสุด “ไฮยาลูรอนิคแอซิค” สารสังเคราะห์ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ว่าปลอดภัยใช้แล้วสามารถละลายสลายไปได้ แต่เมื่อนำมาฉีดเสริมจมูกแล้วกลับส่งถึงขั้นตาบอด จึงกลายเป็นอีกกรณีศึกษาของ “ความสวย ที่ต้องแลกกับความเสี่ยง”ในปัจจุบัน
ทั้งที่ในความจริงเป็นแล้ว “การศัลยกรรม” ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงก่อนทำต้องศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบ เกี่ยวกับวิธีการทำศัลยกรรมแบบต่างๆ ที่ต้องการอยากทำ รวมไปถึงการเลือกแพทย์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการศัลยกรรมนั้นๆ เป็นอย่างดื นอกจากนี้ควรศึกษาด้วยว่าปัจจุบัน การทำศัลยกรรมแต่ละชนิดมีพัฒนาการก้าวหน้าไปอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการเสริมจมูกในปัจจุบัน มีมากมายหลายวิธี และหนึ่งในวิธีการที่กล่าวได้ทันสมัย ปลอดภัย และสวยอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด คือ การเสริมจมูกด้วยการนำไขมันที่มีเสต็มเซลล์มาใช้ในการปลูกถ่ายไขมัน (Fat + Fat Stem cell Rich) ซึ่งเป็นผลงานวิจัยต่อยอดของศัลยแพทย์ไทย ที่คิดค้นได้สำเร็จเป็นกลุ่มแรกๆ ของโลก
นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย และเลขาธิการสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน ผู้คิดค้นวิจัยการเสริมจมูกด้วยการนำไขมันที่มีเสต็มเซลล์มาใช้ในการปลูกถ่ายไขมัน (Fat + Fat Stem cell Rich) กล่าวว่า “การคิดค้นวิจัยดังกล่าว มุ่งเน้นทำเพื่อตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสวยแบบเสี่ยง กับการนำสารแปลกปลอมมาฉีดเป็นฟิลเลอร์ เพราะสเต็มเซลล์ที่มีไขมันด้วยชนิดนี้เป็นฟิลเลอร์ที่ดีที่สุดและไม่เป็นอันตราย เพราะเป็นเนื้อเยื่อของคนไข้เองไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมจึงไม่มีผลข้างเคียง และยังทำให้จมูกมีรูปทรงสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ทะลุ ไม่เบี้ยวเหมือนกับการใช้ซิลิโคน อาจมีการสลายตัวบ้างเล็กน้อย แต่ก็สามารถเติมเข้าไปใหม่ได้
“ ที่ผ่านมาผมได้คิดค้นนวัตกรรมการเสริมจมูกด้วยการปลูกถ่ายไขมัน( Fat Graf) จนกลายเป็นผลงานทางการแพทย์ที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์นานาชาติ เพราะทำให้ได้ความงามที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะทางนรลักษณ์ศาสตร์ (โหงวเฮ้ง) และเป็นฟิลเลอร์ที่มาจากเนื้อเยื่อของคนไข้เองไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมอย่างเช่นฟิลเลอร์ชนิดอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ จนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยต่อยอดจนค้นพบว่าในไขมันนั้นมีสเต็มเซลล์อยู่จริง ดังนั้นเมื่อนำมาใช้ในการปลูกถ่ายไขมันจึงทำสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำศัลยกรรมให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันสามารถนำมาใช้ในการเสริมจมูก เพื่อให้ได้รูปจมูกที่สวยและจัดแต่งรูปทรงได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขปัญหารูปจมูกสั้นของสาวเอเชียได้เป็นอย่างดี”
นายแพทย์ชลธิศ กล่าวถึงการนำไขมันที่มีสเต็มเซลล์มาใช้ว่า “การนำไขมันที่มีเสต็มเซลล์มาใช้ในการปลูกถ่ายไขมัน (Fat + Fat Stem cell Rich) ไขมันที่นำมาฉีดเสริมจมูกนั้น นำมาจากไขมันบริเวณหน้าท้องของคนไข้ จากนั้นนำมาคัดแยกเอาเฉพาะไขมันดีที่มีสเต็มเซลล์ แล้วจึงฉีดเข้าไปที่จมูกประมาณ 1.5 ซี.ซี. หลังจากฉีดไปแล้วจึงมีจัดทรงจมูกให้ได้รูปตามที่ต้องการ วิธีการนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทั้งนี้ภายหลังจากการฉีด บางรายไขมันอาจละลายออกไปประมาณ 30 % ซึ่งหากเกิดการละลายอาจต้องฉีดเพิ่มหรือฉีดเกินบ้างเล็กน้อย
นอกจากนี้นายแพทย์ชลธิศ ยังฝากถึงผู้ที่นิยมฉีดฟิลเลอร์โดยไม่ศึกษาให้ดีก่อนว่า “ปัญหาที่น่ากลัวกว่าฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน คือ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ที่จะฉีดฟิลเลอร์เข้าไป ในร่างกาย เพราะตอนนี้มีทั้งคนที่รับจ้างฉีดตามคลินิกต่างๆ ส่วนใหญ่ยังมีความชำนาญไม่พอ การซื้อฟิลเลอร์ที่มีจำหน่ายตามเว็บไซต์มาฉีดเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เป็นข่าวในขณะนี้ ประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องศึกษาอย่างรอบด้านเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง”