กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
กสิกรไทย เปิดตัวเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัลเอ็มบาสซี (THE WISDOM Lounge @ Central Embassy) เจาะกลุ่มลูกค้าไฮโซ พร้อมบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์ (Intelligent Safe Deposit Box) ที่ปลอดภัยระดับโลกพร้อมรวมเอกสิทธิ์ด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ ตั้งเป้ายึดส่วนแบ่งการตลาด 80% เพิ่มสัดส่วนลูกค้าในหัวเมืองเป็น 35% เจาะลูกค้าชาวต่างชาติและเออีซี (AEC) ที่ทำธุรกิจในไทย
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า กว่า 7 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยได้มุ่งมั่นพัฒนารูปแบบการบริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าบุคคลพิเศษอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอบริการเดอะวิสดอม ซึ่งเป็นบริการลูกค้าระดับสูงสุดของธนาคาร สำหรับลูกค้าที่มีเงินฝากและเงินลงทุนกับธนาคารตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีลูกค้ากลุ่มดังกล่าวอยู่ประมาณ 118,000 ราย โดยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% ของจำนวนลูกค้าระดับบนทั้งหมดในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 153,000 ราย และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท โดยเป็นลูกค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70% และลูกค้าในจังหวัดหัวเมืองและจังหวัดอื่นๆ 30%
ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี (THE WISDOM Lounge @ Central Embassy) ตั้งอยู่บนชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ขนาดพื้นที่ 400 ตารางเมตร เป็นศูนย์บริการรูปแบบแฟลกชิฟ (Flagship) ของเดอะวิสดอม ที่พร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกด้าน ทั้งด้านไลฟ์สไตล์ บริการทางการเงิน และบริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ ระบบอินเทลิเจนท์ เซฟ เดฟโพสิท บ็อกซ์ เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งมีความทันสมัยที่สุด ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกด้วยการยืนยันตัวตนถึง 3 ชั้น เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือพร้อมการแตะการ์ด ใส่ PIN Code และไขกุญแจเปิดตู้นิรภัย ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการตู้นิรภัยได้อย่างมั่นใจในห้องส่วนตัวเฉพาะบุคคล โดยตู้นิรภัยอัจฉริยะดังกล่าวได้เปิดให้บริการ 2 แห่ง คือ เดอะวิสดอม เลาจน์ แอด เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และ เดอะวิสดอม เลาท์ แอด สยามพารากอน ที่มีจำนวนตู้นิรภัย 1,602 ตู้ ซึ่งธนาคารได้ลงทุนด้วยงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบริการตู้นิรภัยรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ หรือระบบ Semi-Auto ด้วยระบบความปลอดภัย และการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคประตูนิรภัยผ่านระบบการควบคุมอัตโนมัติ และใช้กุญแจไขเปิดกล่องนิรภัยเพื่อปลดล็อคความปลอดภัยขั้นสุดท้าย ซึ่งธนาคารเปิดให้บริการ 3 สาขาที่ ศูนย์บริการเดอะวิสดอม เลาจน์ แอด โซฟิเทล โซ กรุงเทพ ศูนย์บริการเดอะวิสดอม เซ็นเตอร์ วิซ เซฟบ็อก ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และศูนย์บริการเดอะ วิสดอม เซ็นเตอร์ วิซ เซฟบ็อก ธนาคารกสิกรไทย สาขาลาดพร้าว 92 โดยมีจำนวนตู้นิรภัยรวม 5,366 ตู้
นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันศูนย์บริการเดอะวิสดอม มีทั้งหมด 5 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.THE WISDOM Corner ตั้งอยู่ภายในสาขาของธนาคารที่เป็นแหล่งธุรกิจสำคัญ มีเคาน์เตอร์บริการด่วนพิเศษ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมทางการเงิน 2.THE WISDOM Centerตั้งอยู่ภายในสาขาทำเลใจกลางเมืองและย่านธุรกิจสำคัญ เป็นศูนย์บริการเดอะวิสดอมครบวงจร ด้วยบริการทางการเงินทั้งธุรกรรมทางการเงินแบบบริการด่วนพิเศษ มุมให้คำปรึกษาทางการเงินและการลงทุนส่วนตัว และศูนย์บริการทางธุรกิจที่ให้บริการห้องประชุมส่วนตัวพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน 3.THE WISDOM Center with Safe Box ศูนย์บริการเดอะวิสดอมครบวงจรที่มีรูปแบบการบริการเช่นเดียวกับ THE WISDOM Center โดยเพิ่มเติมบริการตู้นิรภัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกและเวลาให้บริการที่พิเศษกว่าเวลาทำการปกติของธนาคารเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า4.THE WISDOM Lounge ตั้งอยู่ในพื้นที่สาขาของธนาคารในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ของลูกค้า 5.THE WISDOM Lounge @ เป็นศูนย์บริการที่พร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกด้าน ทั้งด้านไลฟ์สไตล์ บริการทางการเงิน และบริการตู้นิรภัย ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่สำคัญ โรงแรมระดับเวิล์ดคลาสหรือศูนย์การค้าระดับลักชัวรี่ โดยการออกแบบและตกแต่ง THE WISDOM Lounge @ แต่ละแห่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว และเน้นการออกแบบและตกแต่งที่สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของแต่ละพื้นที่
ปัจจุบันธนาคารมีศูนย์บริการ เดอะวิสดอม 87 แห่ง อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล 42 แห่ง และในจังหวัดใหญ่ทุกภูมิภาค 45 แห่ง ซึ่งในปีนี้ธนาคารมีแผนจะเปิดศูนย์บริการเดอะวิสดอมเพิ่มอีก 47 แห่ง รวมเป็น 134 แห่ง และเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นประมาณ 10% โดยเน้นเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในหัวเมืองใหญ่และจังหวัดอื่นๆ เป็น 35% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 30% รวมถึงขยายตลาดให้บริการกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติทั้งกลุ่ม AEC และประเทศต่างๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศหรือมาพำนักอาศัยในประเทศไทย