กรุงเทพ--18 พ.ย.--กระทรวงสาธารณสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เน้นการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ อันเป็นการลงทุนต่ำในการพัฒนาสุขภาพ
วันนี้ (18 พ.ย. 40) เวลา 15.00 น. นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายธีระวัฒน์ ศิริวันสาณฑ์ และนายคำรณ ณ ลำพูน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงข่าวในโอกาสเข้ารับงานที่กระทรวงสาธารณสุข ว่า ตนและคณะได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะช่วยผลักดันนโยบายและแผนงานด้านสาธารณสุข ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลกำหนดไว้
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ในระยะนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ ในปีงบประมาณ 2541 กระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 59,920 ล้านบาทเศษ ในขณะที่คนไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละกว่า 250,000 ล้านบาท จำเป็นที่เราจะต้องช่วยกันดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เงินทุกบาทให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประชาชนไทยทุกคนต้องได้รับบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน มีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานอย่างครอบคลุมทั่วถึง โดยเน้นการพัฒนาสุขภาพที่ดีด้วยต้นทุนต่ำ
ที่ผ่านมาเรามุ่งพัฒนาทางด้านการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยแล้ว โดยไม่ค่อยนึกถึงการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจและให้ความสนใจ ในการดูแลสุขภาพตนเองน้อยลง ประกอบกับพฤติกรรมอนามัยที่ไม่ถูกต้องทำให้มีการเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ควรเจ็บป่วย เช่น อุบัติเหตุ เอดส์ เป็นต้น รวมทั้งการใช้บริการที่ไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็น ทำให้ค่ารักษาพยาบาลมีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดพบมีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 4,000 บาทต่อคนต่อปี จึงอยากให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องสุขภาพอนามัย มีพฤติกรรมอนามัยที่ถูกต้องด้วยความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการขยายงานสาธารณสุขมูลฐานลงสู่ครอบครัว ด้วยการจัดหางบประมาณมาสนับสนุนในการฝึกอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำครอบครัวให้เป็นแกนนำในการดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว ชุมชนและประชาชนทั่วไปมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว อันเป็นการลงทุนที่ต่ำ ในขณะที่อาสาสมัครครอบครัวและทุกคนในครอบครัว มีความรู้ด้านสุขภาพ มีพฤติกรรมอนามัยที่ดีตลอดชีวิต
อนึ่ง ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ด้านสุขภาพจิตพบประชาชนมีความเครียดสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยในปี 2539 ขณะที่ประเทศเริ่มมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ พบประชาชนมีความเครียดในระดับที่สามารถก่อปัญหาได้ร้อยละ 32 และเพิ่มเป็นร้อยละ 39 ในเดือนสิงหาคม 2540 เมื่อภาวะเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น ในกลุ่มคนว่างงานที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจโดยตรง มีความเครียดถึงร้อยละ 80
ความเครียด หากจะมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพกายด้วย ทำให้มีอาการปวดศีรษะ มึน งง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่ค่อยหลับ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย บางรายอาจมีอาการทางจิต มีอาการซึมเศร้า หลายรายอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย
กรณีมีประชาชนเจ็บป่วยต้องให้บริการรักษาพยาบาล ทางกระทรวงสาธารณสุขให้โรงพยาบาลและสถานพยาบาลทุกแห่งในสังกัด ตรึงราคาค่ารักษาพยาบาลไว้ไม่ให้กระทบกับผู้มารับบริการหรือกระทบน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันจะส่งเสริมให้โรงพยาบาลและสถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในทุกจังหวัดใช้ระบบซื้อยารวมของจังหวัด เพื่อจะได้ยาที่มีราคาถูกกว่าต่างฝ่ายต่างแยกกันซื้อ
นอกจากนี้จะให้องค์การเภสัชกรรม ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีภาระหน้าที่ในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ รักษาระดับราคายาและเวชภัณฑ์คงเดิมไว้ในระยะนี้ก่อน จนกว่าจะแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว จึงจะพิจารณาให้ปรับราคายา โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันกับจะส่งเสริมการผลิตยาในประเทศให้มีปริมาณและคุณภาพมากขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้าและที่สำคัญต้องทำให้ทุกคนเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ยาที่ผลิตในประเทศให้ผลในการรักษาไม่แตกต่างจากยาจากต่างประเทศ เราสามารถผลิตเพื่อใช้และส่งออกได้เช่นเดียวกัน
ถึงแม้เศรษฐกิจที่รัดตัว งบประมาณที่จำกัด กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าเราจะให้บริการในการดูแลสุขภาพที่ดีแก่ประชาชน ทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ในภาวะเช่นนี้ประชาชนมีความต้องการที่พึ่งทางใจมากเป็นกรณีพิเศษ เราจึงเน้นให้มีบริการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ มีการจัดตั้งคลีนิคคลายเครียดในทุกจังหวัด รวมทั้งเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องด้านสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน กระตุ้นเตือนให้ประชาชนมีพฤติกรรมอนามัยที่ถูกต้อง จะได้ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษา--จบ--