กรุงเทพฯ--2 ก.ค.--แสนสิริ
แสนสิริปลื้มความสำเร็จแคมเปญ ‘It’s Prime Time’ หลังยอดขายบ้าน คอนโด ทาวน์เฮ้าส์พร้อมอยู่ทะลุ 1,500 ล้านบาท ตอกย้ำภาพการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ชี้คนไทยนิยมซื้อบ้านพร้อมอยู่มากขึ้นเหตุพร้อมเข้าอยู่และลงทุนทันที ระบุโซนพระราม 2 และที่อยู่อาศัยระดับราคา 4 – 5 ล้านบาทขายดีที่สุด ส่วนโครงการทาวน์เฮ้าส์ใกล้เมืองและดีคอนโดได้รับความสนใจสูงสุด มั่นใจยอดโอนจากโครงการพร้อมอยู่ที่ขายดีต่อเนื่องจะทำให้แสนสิริแตะรายได้ที่ 34,000 ล้านบาทได้ตามเป้า
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แคมเปญส่งเสริมการขาย ‘It’s Prime Time’ ที่คัดสรรยูนิตที่ดีที่สุดจากโครงการพร้อมอยู่คุณภาพทั่วประเทศเพื่อมอบที่สุดแห่งข้อเสนอประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย หลังจากมียอดขายถึง 1,500 ล้านบาทในช่วงเวลาที่จัดแคมเปญ โดยโครงการที่ขายดีที่สุด คือ ทาวน์เฮ้าส์โซนพระราม 2 ระดับราคา 4 – 5 ล้านบาท และดีคอนโดในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ระดับราคา 1.5 – 2 ล้านบาท สะท้อนความต้องการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ใกล้เมืองยังอยู่ในระดับสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสามารถซื้อเพื่ออยู่เองได้ทันที พร้อมยังปล่อยเช่าได้โดยมีผลตอบแทนที่น่าพอใจ ด้านบ้านเดี่ยวระดับราคา 5 – 7 ล้านบาทก็ได้รับความนิยมจากลูกค้าเช่นกัน
“ปีนี้แสนสิริจะรุกทำการตลาดที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ทั่วประเทศมากขึ้น ในอันที่จะช่วยให้เราสามารถรับรู้รายได้จากการโอนได้เร็วขึ้น ซึ่งเมื่อนำ backlog จากโครงการที่จะสร้างเสร็จในปีนี้อันเป็นยอดขายของแสนสิริที่มีอยู่แล้ว มารวมกับเป้ายอดขายเพิ่มเติมจากโครงการพร้อมอยู่ ทำให้แสนสิริมั่นใจว่ารายได้ของเราในปีนี้จะอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้เมื่อต้นปีได้”
นายอภิชาติ กล่าวทิ้งท้ายว่า แสนสิริเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศและตลาดอสังหาฯ กำลังฟื้นตัวและมีแนวโน้มกลับมาคึกคักได้ในไม่ช้า สังเกตได้จากยอดขายของแสนสิริจากที่ชะลอตัวในไตรมาส 4 ของปี 2556 และไตรมาส 1 ของปี 2557 เริ่มกลับมาเหมือนช่วง 1 – 2 ปีก่อนแล้ว นอกจากนั้น ยังเชื่อว่าประเทศไทยยังไม่ประสบกับภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวลาอันใกล้นี้ เพราะยอดขายอสังหาฯ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย นอกจากนั้น แสนสิริยังคาดว่าแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาทจะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นและทำให้คนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นธุรกิจอันดับแรกๆ ที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายนี้