กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะเงินทุนที่เข้มแข็ง ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ตลอดจนความแข็งแกร่งของฐานรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงความสามารถของบริษัทในการนำประสบการณ์และความรู้ของกลุ่มเคจีไอในไต้หวันซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จากคู่แข่งขันใหม่ 3 รายที่เข้ามาในปี 2556 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดก็มีผลต่ออันดับเครดิตด้วยเช่นกัน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ได้ต่อไปแม้สภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การลงทุนในหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้
บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีแหล่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและไม่กระจุกตัวอยู่ที่รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์มากนัก กล่าวคือ ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 50% ของรายได้รวมของบริษัทเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่สูงกว่า 70% การขยายฐานรายได้ในส่วนที่ไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์น่าจะช่วยให้บริษัทมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นภายหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2555 และภายหลังการเข้ามาของคู่แข่งขันใหม่ 3 รายในอุตสาหกรรม ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 23%-41% ของรายได้รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นมาจากธุรกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทในตราสารหนี้และตราสารทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ. วรรณ ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 99% ด้วย รายได้จาก บลจ. วรรณ คิดเป็นสัดส่วน 8%-14% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ทั้งนี้ รายได้จากการบริหารจัดการกองทุนถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่ผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรายได้อื่น ๆ ของธุรกิจหลักทรัพย์
บริษัทจัดได้ว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยมีความได้เปรียบจากการนำความรู้ทางวิศวกรรมการเงินตลอดจนประสบการณ์ของกลุ่มเคจีไอ ไต้หวัน ซึ่งอยู่ในตลาดการเงินที่มีการพัฒนามากกว่ามาใช้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ในประเทศไทย การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท บริษัทพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องให้ล้ำหน้าคู่แข่งเพื่อจะมีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาด
ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารทุนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2557 อยู่ที่ 3.95% โดยอยู่ในลำดับ 9 ซึ่งใกล้เคียงกับส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัททั้งปีในปี 2556 และสูงกว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.48% (ลำดับ 12) บริษัทมีฐานลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ในสัดส่วนที่สูงซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราค่านายหน้าค่อนข้างต่ำ ทำให้อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงจากระดับ 0.15% ในปี 2554-2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.13% ในปี 2556 ทั้งนี้ ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าซื้อขายจากลูกค้ารายใหญ่ 20 รายแรกคิดเป็นกว่า 40% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมดของบริษัท (ไม่รวมการซื้อขายในบัญชีของบริษัท) และการที่บริษัทพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่อยู่ค่อนข้างมากซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง จึงอาจทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแข่งขันได้มากกว่า
การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัททำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาด บริษัทมีเงินลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุน โดยบริษัทจัดว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม บริษัทมีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อันนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านเครดิต ทั้งนี้ สินเชื่อดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1,500 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 เทียบกับระดับ 1,700 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 อย่างไรก็ตาม ถือว่าการให้สินเชื่อดังกล่าวอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 การปล่อยสินเชื่อดังกล่าวคิดเป็น 4% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรม และคิดเป็น 29% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท
บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 784 ล้านบาทในปี 2556 เทียบกับ 443 ล้านบาทในปี 2555 และ 594 ล้านบาทในปี 2554 ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ 1) การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านบริษัท 2) การเพิ่มขึ้นของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ และ 3) รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากการที่บริษัทเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย (Lead Underwriter) ของหลักทรัพย์ 3 บริษัท โดยบริษัทมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้นจาก 467 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 712 ล้านบาทในปี 2556 ขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2554 นอกจากนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิของบริษัทก็ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยลดลงเหลือ 51% ในปี 2556 จาก 57% ในปี 2555
อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดลงเป็น 1.6 เท่า ณ สิ้นปี 2556 จาก 2.6 เท่า ณ สิ้นปี 2555 บริษัทลดขนาดของเงินลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 เป็นการชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยงจากสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยก่อนจะกลับมาขยายเงินลงทุนอีกครั้งในไตรมาสแรกของปี 2557 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2556 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 211% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนด
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable