กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
กลุ่มมิตรผล แถลงวิสัยทัศน์กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยมุ่งเป็นผู้นำด้านไฟฟ้าชีวมวลและเอทานอล ด้วยแนวคิดในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมเปิดตัวโครงการโซลาร์รูฟท็อปแห่งแรก ณ โรงไฟฟ้ามิตรผล ภูเขียว เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ด้วยพลังงานทางเลือกที่หลากหลายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นายประวิทย์ ประกฤตศรี กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า "ในสถานการณ์ปัจจุบันที่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีราคาแพงและค่อนข้างผันผวน ประกอบกับประเทศไทยต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านพลังงานในระยะยาว กลุ่มมิตรผลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจพลังงานหมุนเวียนคือ โรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานผลิตเอทานอลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ นอกจากนี้เรายังต่อยอดไปสู่พลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่หมุนเวียนใช้ได้อย่างไม่มีวันหมด โดยเปิดตัวโครงการโซลาร์รูฟท็อปแห่งแรกที่โรงไฟฟ้ามิตรผล ภูเขียว ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 1.3 ล้านหน่วยต่อปี"
ที่ผ่านมา กลุ่มมิตรผลมีแนวคิดในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเปลี่ยนของเหลือทิ้งให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า (From Waste to Value) ด้วยการนำวัสดุที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาลคือชานอ้อย มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และนำโมลาสมาหมักกับยีสต์เพื่อผลิตเป็นเอทานอลสำหรับผสมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ทั้งหมดถือเป็นความใส่ใจในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการผลิตใหม่ และเพิ่มคุณค่าให้กับวัสดุที่เหลือใช้ได้อย่างสูงสุด
ปัจจุบัน กลุ่มมิตรผลมีโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้งหมด 6 แห่ง ในจังหวัดสุพรรณบุรี สิงห์บุรี ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ และเลย มีกำลังการผลิตรวม 400 เมกะวัตต์ และมีสัญญาการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกว่า 200 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตเอทานอลจากโมลาส 3 แห่ง ในจังหวัดสุพรรณบุรี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ และโรงงานผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อยสด 1 แห่ง ที่จังหวัดตาก (ร่วมทุนกับ บมจ. ผาแดงอินดัสทรี และ บมจ. ไทยออยล์) โดยทั้ง 4 แห่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 380 ล้านลิตรต่อปี
"ในปีนี้ ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทนการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น นาดอน จึงคาดว่าจะทำให้มีพื้นที่ปลูกอ้อยเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ผลผลิตอ้อยโดยรวมทั้งปีจะสูงกว่า 100 ล้านตัน ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอ้อยและน้ำตาลอย่างโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานเอทานอล มีการเติบโตตามไปด้วย กลุ่มมิตรผลจึงรองรับการขยายตัวดังกล่าว ด้วยการขยายโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงงานผลิตเอทานอลในพื้นที่เดิม รวมทั้งเสริมเครื่องจักรซึ่งใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศที่สะอาด ปลอดภัย และทันสมัย เราเชื่อมั่นว่าในปีนี้กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของเราจะสามารถเติบโตได้ถึง 10% และเป็นผู้นำด้านธุรกิจไฟฟ้าชีวมวลและเอทานอลได้อย่างต่อเนื่อง" นายประวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผลยังมีแนวคิดในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จึงได้เปิดตัวโครงการโซลาร์รูฟท็อปแห่งแรก ณ โรงไฟฟ้ามิตรผล ภูเขียว โดยใช้งบประมาณลงทุนกว่า 56 ล้านบาท ในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ขนาด 989 กิโลวัตต์ บนหลังคาอาคารบ่อเก็บโมลาส ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มากกว่า 1.3 ล้านหน่วยต่อปี เทียบเท่ากับการลดใช้น้ำมันดิบได้มากกว่า 100 ตันต่อปี และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 700 ตันคาร์บอนต่อปี
"โครงการโซลาร์รูฟท็อปของโรงไฟฟ้ามิตรผล ภูเขียว นอกจากจะเป็นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าแล้ว ยังช่วยให้ชุมชนได้มีแหล่งพลังงานสะอาดไว้ใช้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดยในอนาคตหากกลุ่มมิตรผลได้รับการอนุมัติโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมจากภาครัฐ เราก็พร้อมที่จะดำเนินโครงการลักษณะนี้ในโรงงานแห่งอื่นๆ ทั่วประเทศ"
“ในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน กลุ่มมิตรผลจะยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานผลิตเอทานอล เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต่อยอดจากอ้อยและน้ำตาลซึ่งเป็นจุดแข็งของเรามาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกันเราก็ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ดังตัวอย่างของโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ได้เปิดตัวในวันนี้ เพราะเราเห็นความสำคัญของการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และเป็นทางเลือกให้กับประเทศไทยในการรับมือความท้าทายด้านพลังงานที่มีมากขึ้นในอนาคต” นายประวิทย์ กล่าวสรุป