กรุงเทพฯ--22 ก.ค.--MMM Digital Asset
เฮเซลและกัสเป็นสองวัยรุ่นที่มีความพิเศษที่มีไหวพริบอย่างน่าประหลาด การดูถูกเหยียดหยามจากสังคม และความรักที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา รวมถึงพวกเรา ในประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน มิตรภาพของพวกเขาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่นำพาให้พวกเขาได้พบกัน และตกหลุมรักกันท่ามกลางกลุ่มให้กำลังใจผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS สร้างขึ้นจากนิยายขายดีเป็นอันดับ 1 ของจอห์น กรีน ที่มีความสนุกสนาน ความตื่นเต้น เรื่องราวชวนเศร้าสลดของการใช้ชีวิตและความรัก
เฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์ (ไชลีน วูดเลย์) เด็กสาววัย 16 ปี เธอต้องใช้ทั้งความรักและความอดทนกับพ่อแม่ที่จุกจิกกับเธอในบางครั้ง เฮเซลเกิดตกหลุมรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า กัส วอเตอร์ส (แอนเซล เอลกอร์ต) ที่ดูเหมือนจะทำให้เธอเจ็บปวดด้วยพอๆ กัน เมื่อพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น เฮเซลและกัสได้แลกเปลี่ยนความกลัวของพวกเขาที่มาพร้อมกับปัญหาเรื่องสุขภาพ พวกเขารักหนังสือเหมือนกันซึ่งรวมถึงหนังสือเล่มโปรดของเฮเซลอย่าง An Imperial Affliction เธอพยายามติดต่อกับปีเตอร์ แวน ฮูเทน (วิลเล็ม ดาโฟ) ผู้แต่งหนังสือที่รักสันโดษอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เมื่อกัสวางแผนติดต่อแวน ฮูเทนผ่านผู้ช่วยของผู้แต่งฯ ผลที่ได้รับกลับสร้างความประหลาดใจเมื่อกัสได้รับคำเชิญให้ไปพบกับผู้เขียนที่อัมสเตอร์ดัม กัสตั้งใจพาเฮเซลออกเดินทางที่จะไปพบกับคำตอบในทุกเรื่องที่เธอสงสัยเกี่ยวกับหนังสือที่มีความหมายต่อเธอมาก
แต่คำตอบที่เธอค้นหากลับไม่พบจากปีเตอร์ แวน ฮูเทน พวกเขาร่วมผจญภัยครั้งใหญ่ไปด้วยกัน เมื่อเฮเซลร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับคนที่เธอไม่กลัวว่าเธอจะตกหลุมรัก เขามอบสิ่งที่เธอเรียกว่า “สิ่งไม่รู้จบ – ความทรงจำนิรันดร์ตามจำนวนวันที่กำหนดไว้”
นิยายของจอห์น กรีน เรื่อง The Fault in Our Stars มีการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2012 และเปิดตัวเป็นอันดับ 1 ของนิยายขายดี The New York Times กรีนเริ่มแต่งเรื่อง The Fault in Our Stars เมื่อปี 2000 หลังจากที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลที่โรงพยาบาลเด็ก เขาอธิบายว่า “ผมอยากเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กที่เหมือนกับใครหลายคนที่ผมเคยพบในโรงพยาบาล พวกเขาอารมณ์ดี ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
“และผมก็รู้ว่าตัวเองอยากให้เรื่อง The Fault in Our Stars เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก แต่ผมนึกไม่ออกมานานแล้วว่าควรเป็นเรื่องราวความรักแบบไหน” เขาเล่าต่อว่า “สุดท้ายแล้วหลังจากที่ผมค้นหาตัวละครมานานหลายปี ผมก็ได้พบกับเฮเซลและกัส พวกเขามีแนวคิดของการสร้างความสุขให้ชีวิตที่แตกต่างกันมาก รวมถึงความคิดเห็นต่อโลกใบนี้ที่ตรงกันข้ามกัน แต่พวกเขาก็ประคองกันไปด้วยความรักที่มีให้กันและมีต่อหนังสือ”
กรีนได้สร้างมิตรภาพขึ้นมากับสาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าเอสเธอร์ เอิร์ลที่เขาอุทิศเรื่อง The Fault in Our Stars ให้ ซึ่งมีการชี้แนวทางไปในทิศทางที่เขาอยากถ่ายทอดเรื่องราว แม้ว่าเอสเธอร์จะไม่ใช่ตัวอย่างของตัวละครพิเศษใดในเรื่อง แต่กรีนได้เล่าว่า “มิตรภาพระหว่างเราและความสดใสในชีวิตของเธอที่มีเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมาก” จากการวินิจฉัยโรคว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์เมื่อปี 2006 เอสเธอร์ เกรซ เอิร์ลต้องยอมจำนนให้กับโรคร้ายเมื่อปี 2010 ตอนเธออายุ 16 ปี
ก่อนจะมีการตีพิมพ์นิยายออกมาได้มีการติดต่อจากฮอลลีวูด แต่กรีนยังไม่พร้อมจะขายสิทธิ์ให้ภาพยนตร์ “ผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีความเป็นส่วนตัวและใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับผมมาก ผมแค่นึกภาพไม่ออกว่ามันจะกลายเป็นภาพยนตร์ได้ยังไง”
ผู้อำนวยการสร้างฯ วิค กอดฟรีย์ รู้สึกว่าผู้แต่งฯ ยังไม่เต็มใจเท่าไหร่ เขาได้ผลิตซีรี่ส์ที่ประสบความนิยมจนสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาที่มีชื่อว่า Twilight ซึ่งสร้างขึ้นจากหนังสือของสตีเฟ่น เมเยอร์ ซึ่งกอดฟรีย์, มาร์ตี้ โบเวน และหุ้นส่วนของเขาที่ Temple Hill Entertainment เป็นผู้ชำนาญด้านการแปลงวรรณกรรมสู่ภาพยนตร์ดัดแปลง “เราพยายามหาเรื่องราวที่เข้าถึงกลุ่มผู้อ่านรุ่นใหม่ที่เป็นวัยรุ่น พวกเขากำลังมองหาเรื่องราวที่มีความสมจริง และเรื่อง The Fault in Our Stars ก็ให้ความรู้สึกว่ามันคือก้าวต่อไปของนิยายวัยรุ่น”
กอดฟรีย์ติดต่อกับเอลิซาเบธ แกบเลอร์ ประธานแห่ง Fox 2000 Pictures และช่วยกันเดินหน้าขอลิขสิทธิ์สำหรับภาพยนตร์อย่างรวดเร็ว “เราคุยโทรศัพท์กับจอห์นและพยายามโน้มน้าวเขาว่า เราคือคนที่เหมาะต่อการแปลงหนังสือเป็นภาพยนตร์ที่สุดแล้ว” กอดฟรีย์เล่าถึงตอนนั้น ซึ่งความรักฟุตบอลที่พวกเขามีเหมือนกันช่วยให้ปิดงานนี้ได้ “ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ลิเวอร์พูล และโชคดีที่จอห์นก็เป็นแฟนเหมือนกัน” ผู้สร้างฯ เล่าเสริม
จากการตีสนิทผ่านเรื่องกีฬา กรีนเล่าว่านั่นเป็นการพบกับกอดฟรีย์และผู้อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ (และผู้บริหารแห่ง Temple Hill Entertainment) ไอแซ็ค คลอสเนอร์ และการได้ยินจากผู้สร้างฯ ทั้งสองเองโดยตรงว่าจะสร้างออกมาให้ตรงตามเนื้อเรื่องและตัวละครของหนังสือ เป็นการโน้มน้าวผู้แต่งฯ ว่าทั้งคู่คือคนที่เหมาะสำหรับการนำเรื่องราวสู่จอภาพยนตร์
“สิ่งหนึ่งที่วิคบอกกับผมในช่วงที่พบกันนั้นคือ ‘คุณไม่ได้เขียนหนังสือเรื่องโรคมะเร็งขึ้นมา และเราก็ไม่ได้สร้างหนังที่เกี่ยวกับสร้างโรคมะเร็งด้วย’” กรีนจำได้ว่า “วิคไม่ต้องการให้หนังซาบซึ้งจนเกินไปหรือสอนให้รู้สึกขอบคุณสำหรับทุกๆ วัน วิคอยากให้หนังมีความเป็นธรรมชาติ มีความตื่นเต้น และมีความสุขกับชีวิต ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังมองหา
“ผมอยากให้หนังมีความสนุกสนาน และมีบางอย่างที่ผู้ชมจะเดินกลับไปพร้อมอารมณ์ที่เต็มอิ่มมากขึ้น หนังต้องมีการถ่ายทอดไอเดียว่าชีวิตที่มีเวลาเพียงสั้นๆ ก็มีความสุขและเป็นชีวิตที่งดงามได้ วิคกับไอแซ็คเชื่อมั่นแบบนั้นเช่นกัน”
2 คนที่เป็นแฟนหนังสือเล่มนี้ ได้แก่ ผู้เขียนบทฯ สก็อตต์ นูสแตดเตอร์ และ ไมเคิล เอช. วีเบอร์ ต่างรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมงานและได้ดัดแปลงนิยายของกรีน “อันที่จริงเราโชคดีมากที่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์ก่อนที่หนังสือจะป็นที่สนใจของทั่วโลก” นูสแตดเตอร์อธิบายว่า “ตอนที่เราอ่านหนังสือก่อนที่จะมีการตีพิมพ์ มันก็ได้ความรักไปแล้ว…จากพวกเรานี่แหละ เสียงตอบรับจากหนังสือตั้งแต่นั้นมาก็น่าอัศจรรย์มาก เราหวังว่าภาพยนตร์จะมีเสียงตอบรับในแบบเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญของตอนที่เราดัดแปลงผลงาน มันอยู่ที่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่เรามีต่อเนื้อเรื่องมากกว่า”
“ความตั้งใจของเราคือการรักษาความสมบูรณ์ของหนังสือไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องแน่ใจด้วยว่ามันเป็นประสบการณ์จากหนังสือสุดพิเศษ” วีเบอร์เล่าต่อว่า “สำหรับหนังสือส่วนใหญ่แล้วจะมีความท้าทายสำคัญอยู่ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของหนังสือเล่มนี้ จอห์น กรีนอ่านร่างแรกแรกของเราและส่งอีเมล์มาให้กำลังใจอย่างน่าประทับใจมาก เวลาที่เราได้ร่วมงานกับผู้แต่งฯ ที่มีความสามารถมาก มันหมายถึงว่าเห็นดีเห็นงามกับผลงานที่เราดัดแปลงแล้ว”
การตัดสินใจว่าจะให้จอช บูนมากำกับฯ ไม่ใช่เรื่องยากเลย กอดฟรีย์เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง Stuck in Love ของบูน และมีการติดตามตั้งแต่เขาอ่านบทฯ ภาพยนตร์นำแสดงโดยเกร็ก คินเนียร์, เจนนิเฟอร์ คอนนอลลี่ และ ลิลลี่ คอลลินส์ แต่กอดฟรีย์เล่าว่า “สุดท้ายแล้วคือเรื่องราวที่เกี่ยวกับลูกชายวัยรุ่น” ซึ่งรับบทโดยแนต วูล์ฟที่มารับบทนำในเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS
“มันเหมือนกับชีวประวัติและเราเฝ้าดูเด็กคนนี้โตขึ้นมาด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น และไม่ถูกนำไปสู่ความชั่วร้าย” กอดฟรีย์อธิบาย “มันรู้สึกกสมจริงมากครับ”
บูนสร้างผลงานในเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS ด้วยความยากลำบากมาก เขานำเสนอสตูดิโอและผู้สร้างฯ ว่า “เนื้อเรื่องของมันเหมือน ‘Titanic’ ส่วนมะเร็งก็เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่สุดท้ายเราก็พุ่งชนมัน แต่จะให้ภาพยนตร์เป็นเรื่องของภูเขาน้ำแข็งไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องราวความรัก มันต้องมีการสะท้อนความจริงและฉากที่พิเศษ”
จอห์น กรีนมาอยู่ในฉากประจำ บูนเล่าว่าความเห็นของผู้แต่งฯ มีความสำคัญมาก “จอห์นช่วยเราได้มากในการค้นหาความเหมาะสม” ผู้กำกับฯ กล่าว “เขาไม่ได้เป็นแค่นักเขียนที่น่าอัศจรรย์เท่านั้น แต่เป็นผู้ชมที่ดีอีกด้วย_”
ไชลีน วูดลีย์มารับบทเฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์ นักแสดงสาวจากเรื่อง Divergent และ The Descendants เล่าว่าภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS จะทำให้เธอประทับใจไปตราบนานเท่านาน “ถือเป็นเกียรติมากครั้งหนึ่งในชีวิตของฉันที่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้เลยค่ะ ทั้งภาพยนตร์และนิยายต่างเข้าไปสำรวจโลกที่มีพลังและเข้าถึงทุกคนได้ เรื่องนี้สอนฉันว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่ว่าเราจะมีชีวิตยาวนานหรือสั้นแค่ไหน นั่นคือช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีความหมายมากที่สุด
“ฉันอยากได้บทมาก ฉันส่งอีเมล์หาจอห์น กรีนยาวมากว่าฉันรักหนังสือมากแค่ไหน และฉันจะแสดงบทเฮเซลยังไง” วูดลีย์เล่าต่อว่า “พอฉันได้นั่งอยู่กับผู้บริหารสตูดิโอและผู้อำนวยการสร้างฯ ฉันพูดว่า ‘ให้ฉันเป็นผู้ช่วยกองถ่ายหรือนักแสดงสมทบก็ได้ ให้ฉันได้มีส่วนร่วมในเรื่องด้วยก็พอ!’”
โชคดีของวูดลีย์และผู้สร้างฯ เธอสามารถคว้าบทนี้ไปได้ บูนเล่าว่าต้องขอบคุณที่เธอมาออดิชั่นได้อย่างน่าตื่นเต้น “เราต้องดูนักแสดงหญิงเกือบ 150 คนสำหรับบทนี้ และผมก็พบในนั้นราว 50 คน เพียงแค่ 10-15 วินาทีที่ไชลีนมาออดิชั่น ผมรู้เลยว่าเธอนี่แหละเฮเซล เธอถือบทของเธอขึ้นมาและใช้แค่ดวงตาชำเลืองดูบทเท่านั้น ไชลีนมีดวงตาสีเขียวที่สื่อออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ และเธอใช้สายตาเก่งมาก เธอแสดงอารมณ์เก่งและถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ออกมาได้ ผมไม่รู้ว่าเธอทำได้ไง ราวกับมันเป็นเวทมนตร์เลย”
มุมมองของวูดลีย์ที่มีต่อเนื้อเรื่อง โทนเรื่อง และตัวละครต่างๆ สะท้อนถึงผู้กำกับฯ และผู้สร้างฯ ของเธอ “ภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS เป็นเรื่องราวความรักของเด็กสองคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง” เธออธิบาย “ฉันรู้สึกอินไปกับเฮเซลและกัสมาก พวกเขามองเห็นหลายสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายเกินกว่าที่จะมองเห็นมันได้”
วูดลีย์ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดลักษณะต่างๆ และความซับซ้อนในตัวเฮเซลออกมา
“ไชลีนเข้าใจเฮเซลได้ลึกซึ้งมาก” กรีนกล่าว “เธอมีความเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมา และการแสดงที่ใช้จิตวิญญาณอย่างเปี่ยมล้ม ผมรู้สึกชื่นชมในการแสดงของเธอในตัวละครนี้มากครับ
“เฮเซลเป็นคนที่ชอบพูดจาเสียดสีและชอบเล่นมุกตลกร้าย” ผู้แต่งฯ เล่าต่อว่า “แต่เธอมีความน่ารักและคอยห่วงใยในผลลัพธ์จากโรคที่จะส่งผลต่อคนรอบตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ของเฮเซล เธอไม่อยากให้เกิดสิ่งที่เฮเซลเรียกว่า ‘ระเบิด’ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ตายแล้วสร้างความเจ็บปวดและความเสียหายขึ้น เธอเป็นพวกมังสวิรัติและบอกกับกัสว่า ‘ฉันอยากลดจำนวนคนตายลง’ เธอมีความกล้าหาญที่น่ายกย่องมาก”
นอกจากการถ่ายทอดลักษณะหลายอย่างในตัวเฮเซลแล้ว วูดลีย์ยังต้องแสดงข้อกำหนดที่เธอมีทางด้านร่างกายออกมาด้วย สิ่งสำคัญที่ติดอยู่กับเธอคือท่อที่สอดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งเป็นท่อยืดหยุ่นได้ที่ต่อเข้ากับถังออกซิเจน และการศึกษาข้อมูลของวูดลีย์ก็มีความสำคัญอีกครั้ง “ฉันได้พบกับหลายคนที่ต้องอาศัยออกซิเจน มีคนหนึ่งเล่าว่ามันรู้สึกเหมือนต้องหายใจผ่านหลอด’” เธอกล่าว
คนรักของเฮเซลมีชื่อว่ากัส รับบทโดยแอนเซล เอลกอร์ต เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นเรื่องความเป็นฮีโร่ เขาเป็นคนใจร้อน มีความมุ่งมั่น แต่ก็มีไหวพริบอย่างน่าสนใจ
จอห์น กรีนเล่าว่า เฮเซลและกัสรักกันได้เพราะพวกเขามีไหวพริบและความฉลาดคล้ายๆ กัน “มีประโยคหนึ่งในนิยายของฟิลลิป ร็อธ เรื่อง The Human Stain ที่ตัวละครพูดว่า ‘ความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้เป็นตัวของตัวเอง ความสุขอยู่ที่การมีศัตรูอยู่ในห้องเดียวกับเรา’ ผมคิดว่าเฮเซลไม่ใช่คนที่มีศัตรูมากมายอยู่ในห้องเดียวกับเธอ ตอนที่เธอได้พบกับกัส เธอรู้สึกได้เลยว่า ‘ผู้ชายคนนี้เข้ากับฉันได้นะ’ สำหรับกัสแล้วมันคือเรื่องเดียวกัน เขารู้สึกชินกับการที่เป็นที่สนใจของสาวๆ แต่เขาไม่เคยพบใครที่เหมือนกับเฮเซลมาก่อน”
กัสเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน เขาเคยเป็นนักบาสเก็ตบอลดาวเด่นของไฮสคูล และหนังสือเล่มโปรดของเขาก็สร้างขึ้นจากวีดีโอเกม จนกระทั่งเขาได้พบกับเฮเซล และในเวลาเดียวกันเขาเป็นพวกที่มีสติปัญญา ปรารถนาที่จะมอบคำคมที่แฝงความคิดให้
แอนเซล เอลกอร์ตรู้จักกับวูดลีย์มาแล้ว ตอนที่เขารับบทเป็นพี่ชายของเธอในเรื่อง Divergent วูดลีย์เล่าว่าจากการแสดงคู่กันครั้งที่แล้วถือว่า “โชคดีมากที่เราได้ร่วมงานกันในเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS เพราะเรารู้จักกันอยู่แล้ว และแสดงความสนิทสู่จอภาพยนตร์ได้ ฉะนั้นจึงเข้าถึงบทเฮเซลและกัสได้ไม่ยากเลย เอสเซลเหมือนพี่ชายของฉันค่ะ เขาเป็นคนที่สงสัยทุกอย่างรอบตัวและตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“เรื่องราวความรักทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับเคมีสัมพันธ์” วิค กอดฟรีย์ กล่าวเสริมว่า “ไชลีนเด่นกว่านักแสดงหลายคนที่เราทดสอบบทร่วมกับเธอ เพราะเธอมีบุคลิกที่ดูแข็งแกร่งน่ากลัว แต่พอแอนเซลเข้ามา ด้วยความที่เขามีเสน่ห์ มีความร่าเริง และมีพลังพอที่จะทำให้ไชลีนอ่อนลงได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการให้เธอรู้สึกแบบนั้น”
สำหรับเอลกอร์ตแล้ว กัสคือตัวละครที่เขากำลังค้นหาอยู่ เขาเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นแฟนนิยายเรื่องนี้ “ที่สำคัญที่สุดคือหนังสือเต็มไปด้วยแง่คิดที่มีความงดงาม ทำให้เราได้ทบทวนเรื่องชีวิตและความรัก” เขากล่าว
การจับต้องบทที่ท้าทายที่สุดของเขาในวันนี้ เอลกอร์ตยกความดีให้กับวูดลีย์ที่เป็นคนจุดประกายความแข็งแกร่งขึ้นมา “มีหลายช่วงในหนังที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายากกว่าครั้งไหนที่เคยแสดงมา ฉะนั้นการมีไชลีนอยู่ใกล้ๆ ก็ช่วยให้มันง่ายขึ้นมากเลย”
เพื่อนสนิทของกัสมีชื่อว่า ไอแซ็ค เขาเข้าบำบัดรักษาโรคมะเร็งเช่นเดียวกับกัสและไอแซ็ค แต่ปฏิเสธในการพลิกด้านดีของเขา เขาต่างกับกัสและเฮเซลตรงที่ชีวิตรักของไอแซ็คกลับไม่สวยหรู แน็ต วูล์ฟ ผู้รับบทไอแซ็คอธิบายว่า “ไอแซ็คเป็นผู้ชายธรรมดาที่ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายกับเชื้อมะเร็งของเขา ซึ่งทำให้เขาต้องสูญเสียดวงตาดวงหนึ่งไป และกำลังจะเสียไปอีกดวงหนึ่ง แต่ไอแซ็คสร้างภาพว่าสิ่งสำคัญของเขาคือแฟนสาวสุดฮอตองเขาที่เพิ่งบอกเลิกเขาไป
“ส่วนใหญ่ในเรื่องไอแซ็คจะพูดถึงเรื่องเลิกกับแฟน ซึ่งในความเป็นจริงเรารู้ว่าเขาเสียใจที่ต้องสูญเสียการมองเห็น จึงเยียวยาโดยการคิดถึงเรื่องแฟนสาวที่ทิ้งเขาไป”
สำหรับการศึกษาตัวละครนี้ วูล์ฟต้องใช้เวลาพูดคุยกับผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายราย ซึ่งมีรายหนึ่งที่ต้องพบเหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากไอแซ็ค “ผมพบผู้ชายคนหนึ่งชื่ออีธาน เขาตาบอดตอนอายุ 18 ปีและถูกแฟนบอกเลิกในเวลาเดียวกัน” วูล์ฟเล่าว่า “เขาไม่โทษฝ่ายหญิงเลย เขาแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะมีใครเข้าใจว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องพบเจอกับอะไรบ้าง มันยากที่เธอและเพื่อนของเขาคนอื่นๆ จะเข้าใจได้”
นอกจากมิตรภาพของเฮเซลที่เกิดขึ้นกับกัสและไอแซ็คแล้ว โลกของเธอถือว่าแคบมาก อาการเจ็บป่วยของเธอทำให้ต้องถูกจำกัดพื้นทที่ เฮเซลใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพ่อแม่ของเธอ ได้แก่ แฟรนนี่ รับบทโดย ลอว์ร่า เดิร์น และไมเคิล รับบทโดย แซม แทรมเมล
“แฟรนนี่และไมเคิลเป็นพ่อแม่ที่แสนดี พวกเขารักลูกสาวและดูแลลูกได้ดีมาก” กรีนกล่าว “แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับสภาพความเป็นจริงจากความเจ็บป่วยของเธอ หลายครั้งพวกเขาก็เป็นเหมือนกับพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ที่บินวนเวียนอยู่เหนือลูกสาวของเธอ
“ในเวลาเดียวกันความเจ็บป่วยของเฮเซลก็ทำให้แฟรนนี่และไมเคิลปล่อยให้เฮเซลมีอิสระกว่าที่พ่อแม่คนอื่นจะยอมปล่อยลูกสาววัยรุ่นของตัวเอง” เขาเล่าต่อว่า “พวกเขาไม่กังวลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนอย่างพ่อแม่ส่วนใหญ่ เช่น หนุ่มๆ ที่ลูกสาวกำลังออกเดทด้วย เพราะยังมีเรื่องอื่นในชีวิตที่พวกเขากังวลมากกว่า จึงทำให้มีแต่ความสนุกสดใสระหว่างเฮเซลกับพ่อแม่ของเธอ”
ลอว์ร่า เดิร์นรู้สึกถูกชะตากับลูกสาวของเธอในภาพยนตร์เป็นอย่างมาก “ตอนที่ฉันได้พบกับไชลีน รู้สึกเหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกันเลย ซึ่งมันไม่ค่อยพบเท่าไหร่” เดิร์นกล่าว “มีบางสิ่งในงานเขียนของจอห์น กรีนและบุคลิกของไชลีนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นญาติกัน เหมือนกับเฮเซลและแฟรนนี่ ไชลีนกับฉันมีความหลงใหลคล้ายกันในเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และต้องแน่ใจว่ารอบตัวเราไม่มีมลภาวะที่เป็นพิษ มันคือสิ่งที่ถ่ายทอดสู่ตัวละครและมิตรภาพของเราค่ะ”
แซม แทรมเมลเองก็รู้สึกชื่นชมในสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกสาวของพวกเขา “เฮเซลคล้ายกับ ผู้ดูแลผู้ปกครองเหมือนกับที่ผู้ปกครองดูแลเธอ” เขากล่าว “มีอย่างหนึ่งที่ฝังใจผมคือการที่เฮเซลกังวลเกี่ยวกับผู้คนที่เธอต้องทิ้งไปเมื่อเธอตายไปแล้ว โดยเฉพาะพ่อแม่ของเธอ เรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นคือความเจ็บป่วยของเธอส่งผลต่อคนอื่นอย่างไรบ้าง และผมคิดว่านั่นเป็นความคิดที่งดงามมาก”
วิลเล็ม ดาโฟ นักแสดงชายผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® มารับบทสำคัญของผู้แต่งฯ ที่มีความลึกลับปีเตอร์ แวน ฮูเทน เจ้าของหนังสือ An Imperial Affliction ที่สร้างความประทับใจให้เฮเซลและกัส กอดฟรีย์บรรยายตัวละครเอาไว้ว่าเหมือน “Wizard of Oz” ของเรื่องเพราะ “เฮเซลและกัสออกผจญภัยร่วมกันเพื่อไปพบกับพ่อมด และเมื่อประตูเปิดออกก็ได้พบกับคนที่ดูน่ากลัว ไม่สมบูรณ์แบบ โหดร้าย แต่มีความน่าสนใจและเสน่ห์ในแบบของเขา เราโชคดีมากที่ได้วิลเล็มมาช่วยพลิกให้แวน ฮูเทนเป็นตัวละครที่มีพลังมากได้”
กรีนเห็นด้วยโดยกล่าวว่า “วิลเล็มแสดงในภาพยนตร์เรื่องโปรดของผมหายเรื่องในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา แต่ผมไม่เคยรับบทไหนเหมือนแวน ฮูเทนเลย มันเหมือนได้พบกับปีเตอร์ แวน ฮูเทนแบบตัวเป็นๆ ซึ่งมีทั้งความน่ากลัวและความน่ามหัศจรรย์อยู่ในตัว”
ดาโฟเล่าว่าเขาเกิดความสนใจในหนังสือและความสามารถในบทภาพยนตร์ที่ผสมผสานทั้งคอมเมดี้และดราม่ารวมกันไว้ได้ “มันเป็นการสร้างสมดุลขึ้นได้ยากมาก มันมีทั้งความตื่นเต้นและความสมจริง และมีความสามารถที่ทำให้มันดูเย็นชาและมีความรู้สึกเปี่ยมล้นเกินจริง” เขาบรรยายว่าแวน ฮูเทนเป็นเหมือนกับ “ผู้แต่งหนังสือที่เฮเซลและกัสหลงใหล เขาเป็นคนรักสันโดษที่ย้ายไปอยู่ในอัมสเตอร์ดัม และไม่ได้เขียนหนังสือเรื่องไหนอีกเลยตั้งแต่นั้นมา เรื่อง Imperial Affliction ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง และแวน ฮูเทนก็มีผู้ติดตามเป็นกลุ่มใหญ่ แต่เขาห่างไกลจากความรู้สึกนั้น ต่อมาเราก็พบว่าหนัสือเล่มนี้ที่เขาเขียนขึ้นมามีความเป็นส่วนตัวมาก และเราะจเข้าใจว่าทำไมเขาไม่ใช่คนที่มีอัธยาศัยดีที่สุดในโลก”
ในตัวละครทั้งหมดมีสิ่งที่เด่นชัดคือการใช้ชีวิตทุกด้านของพวกเขาจะสะท้อนความสมจริงออกมา วิค กอดฟรีย์ เล่าว่า “จอห์น กรีนเล่าถึงเหตุผลที่เขารักการเขียนหนังสือเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นว่า พวกเขายังไม่มีการดูถูกเหยียดหยาม บางมุมก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งนั่นคือช่วงเวลาที่งดงามสำหรับพวกเขา เด็กวัยรุ่นมีความใจร้อน กล้าพูดและทำสิ่งทุกอย่าง อย่างหนึ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในตัวกัส เฮเซล และไอแซ็คคืออาการเจ็บป่วยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลย”
ความปรารถนาของผู้สร้างฯ ถึงความเป็นไปได้ของพวกเขา ได้นำพวกเขาไปเยี่ยมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคมะเร็ง “ตอนที่จอช บูนกับผมพร้อมด้วยนักแสดงไปที่นั่น สิ่งแรกที่เราพูดขึ้นมาคือเราต้องแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และสถานการณ์นี้ออกมาอย่างตรงไปตรงมา” กอดฟรีย์อธิบายว่า “มีทางเดียวที่จะทำได้คือต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกับเด็กวัยรุ่นที่เป็นผู้ป่วย และต้องเข้าพบคุณหมอที่ทำการรักษาพวกเขา รวมถึงผู้ปกครองที่พบเจอทุกอย่างไปพร้อมกับพวกเขา ตอนที่เราไปถึงสถานที่ถ่ายทำของเราที่พิตส์เบิร์ก เราเดินทางไปที่โรงพยาบาลและศูนย์บำบัดโรคมะเร็งเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้”
กองถ่ายได้ทำการติดต่อกับผู้ป่วยหลายรายทั้งที่ได้รับการบำบัดหรืออยู่ในช่วงเกิดอีกครั้ง ผู้ป่วยหลายคนมีส่วนช่วยเหลือในการถ่ายทำมาก เช่น แสดงในฉากกลุ่มให้การสนับสนุนผู้ป่วยโรคมะเร็งของเรื่อง “เด็กวัยรุ่นเหล่านี้มีความสำคัญต่อภาพยนตร์มาก ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาแบ่งปันประสบการณ์บนจอภาพยนตร์เท่านั้น แต่เพราะทำให้พวกเรามีโอกาสได้พูดคุยถึงเรื่องราวของพวกเขาด้วย” กรีนเล่าว่า “สิ่งที่เราพบคือการเริ่มด้วยคำถามเชิงศึกษาค้นคว้าว่า ‘ช่วยบอกผมหน่อยว่ามันเป็นยังไงเวลา…” สุดท้ายลงเอยที่พวกเราคุยกันเรื่องหนัง รถ สาวๆ และเรื่องราวต่างๆ มันสนุกมากที่ได้ไปแฮงค์เอาท์กับพวกเขา”
ความสำคัญอย่างหนึ่งในช่วงการถ่ายทำภาพยนตร์คือ หนังสือของกรีนสร้างควาฝมประทับใจให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS “สิ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษในหนังสือ” กอดฟรีย์เล่าว่า “คือเวลาที่เราวางหนังสือแล้วจะรู้สึกว่า ‘พวกเราทุกคนควรใช้ชีวิตด้วยพลังอย่างที่เฮเซลและกัสใช้’ ประเด็นสำคัญของเรื่องคือเฮเซล กัส และไอแซ็คต่างต้องพบกับหลายเรื่องราวไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นในยุคที่ต้องพบเจอ”
ไชลีน วูดลีย์ กล่าวเสริมว่า “ถือว่าเป็นเกียรติมากค่ะที่ได้พาหนึ่งในตัวละครที่มีพลังมากจากนิยาย เท่าที่ฉันเคยพบมาก่อนสู่จอภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของฉันในทุกลมหายใจไปเลยค่ะ”
ประวัตินักแสดง
ไชลีน วูดลีย์ (เฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์) เป็นที่รู้จักดีจากการแสดงที่ได้รับรางวัลคู่กับจอร์จ คลูนีย์ ในภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award® เรื่อง The Descendants จากผู้เขียน/ผู้กำกับฯ อเล็กซานเดอร์ เพย์น ท่ามกลางรางวัลมากมายของเธอ เธอได้รับรางวัล Independent Spirit Award เมื่อปี 2012 สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, National Board of Review Award สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, เข้าชิงรางวัล Golden Globe® และ Critics Choice
เมื่อปีที่แล้ววูดลีย์แสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ เรื่อง The Spectacular Now นำแสดงโดย ไมเลส เทลเลอร์ เพื่อนร่วมแสดงที่ร่วมรับรางวัล Special Jury Prize for Dramatic Acting ในงาน Sundance Film Festival เมื่อเดือนมกราคม 2013 และวูดลีย์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Gotham Independent Spirit Award สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเธอ Divergent สร้างขึ้นจากนิยายขายดี ฉายเมื่อเดือนมีนาคม ผลงานเร็วๆ นี้ของเธอ ได้แก่ White Bird in a Blizzard ของผู้กำกับฯ เกร็ก อาราคี
วูดลีย์เริ่มทำงานเมื่ออายุ 5 ขวบตอนที่ตัวแทนเห็นศักยภาพของเธอ และจับเธอมาแสดงโฆษณา เธอมีผลงานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอแสดงโฆษณาจากนั้นได้แสดงผลงานทางทีวีครั้งแรกในปี 1999 ทาง MOW เรื่อง "Replacing Dad" โดยมีแมรี่ แม็คดอนเนล ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar สองครั้งมาร่วมแสดงด้วย ผลงานเรื่องอื่น ได้แก่ การรับบทแสดงนำในซีรี่ส์ยอดนิยมทาง ABC Family เรื่อง “The Secret Life of the American Teenager” เป็นเวลา 5 ปี รับบทนำในภาพยนตร์ยอดนิยมของ WB เรื่อง “Felicity: An American Girl Adventure” ที่ผลิตโดยอีเลน โกลด์มิธ-โธมัส และ จูเลีย โรเบิร์ตส และกลับมารับบทแสดงในเรื่อง “Crossing Jordan” (ในบทจิล เฮนเนสซี่ตอนสาว), “The O.C.” และ “Jack & Bobby” เธอยังรับบทนำคู่กับแอน-มาร์เกร็ต และ แมทธิว แซทเทิล ในภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง “A Place Called Home”
ตอนที่เธอไม่มีงานแสดง วูดลีย์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกบ้านให้มากที่สุด และคิดว่าเธอจะหาทางอนุรักษะรรมชาติที่งดงามและอุดมสมบูรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ยังไง เธอริเริ่มองกรณ์การกุศลที่ชื่อวา All It Takes ซึ่งเป็นการเสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือะรรมชาติและชีวิตของมนุษย์ทั่วไป เธอยังใช้เวลาทำงานกุศลหลายอย่างที่สร้างประโยชน์ให้เด็ก ได้แก่ St. Jude’s Children’s Research Hospital และ Elizabeth Glaser Pediatric Aids Foundation
แอนเซล เอลกอร์ต (ออกัสทัส วอเตอร์ส) มีผลงานที่น่าประทับใจหลายเรือ่งอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงสั้นๆ
เขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาจาก LaGuardia Arts High School เอลกอร์ตเคยแสดงคู่กับอเลซิส เบิลเดล ในการแสดงของแม็ตต์ ชาร์แมน เรื่อง Regrets กำกับฯ โดย แคโรลิน แคนเตอร์ สำหรับ Manhattan Theater Club ในช่วงที่กำลังจะจบการศึกษาชั้นปีสุดท้ายของไฮสคูล การแสดงของเขาได้รับคำชมอย่างล้นหลาม รวมถึงคำชมจากบลูมเบิร์กที่ชมว่า “เอลกอร์ตมีแรงดึงดูดหลายด้าน” และ AP กล่าวว่า “เอลกอร์ตถ่ายทอดเสน่ห์อันลึกลับของเจมส์ ดีนอออกมาได้ ถูกยกระดับโดยความบริสุทธิ์อันเจิดจรัส” หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง แอนเซลได้รับคัดเลือกให้มารับบท ‘ทอมมี่ รอส’ ในภาพยนตร์ของคิมเบอร์ลี่ เพียร์ซ เรื่อง Carrie คู่กับโคลอี้ เกรซ โมเร็ตซ์ และ จูเลียน มัวร์ ภาพยนตร์เพิ่งฉายเมื่อเดือนตุลาคม 2013 หลังจากปิดกล้องเรื่อง Carrie แอนเซลมีผลงานคู่กับเคต วินสเล็ต ในภาพยนตร์ของ Summit เรื่อง Divergent ที่สร้างขึ้นจากหนังสือชุดที่ได้รับความนิยมของเวโรนิก้า รอธ
แอนเซลพบความรักด้านการแสดงจากการเต้น เขามีการแสดงเต้นแท็ปที่งาน CFDA Awards เมื่อปี 2011 และเขาเป็นเด็กที่แสดงในเรื่อง The Nutcracker และ Swan Lake ที่ Lincoln Center ร่วมกับ New York City Ballet ในฐานะของนักร้อง แอนเซลได้ร่วมงานกับนักแต่งเพลงหลายคน เช่น เจสัน โรเบิร์ต บราวน์, เกล็น โรเวน และ หลุยส์ แอนเดรสเซน
ตอนนี้แอนเซลอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค
ลอว์ร่า เดิร์น (ฟรานนี่) เธอได้พิสูจน์ถึงการเป็นหนึ่งในสุดยอดนักแสดงหญิงแห่งยุค โดยการแสดงให้เห็นว่าเธอมีการแสดงที่ลึกซึ้งและมีความหลากหลาย สร้างความประทับใจให้ผู้ชมและนักวิจารณ์จากการแสดงที่สร้างความตื่นเต้นและสมจริง เมื่อปี 2010 จากการฉลองภาพยนตร์และผลงานทางทีวีแห่งตำนานครอบครัวของเธอ เดิร์น แม่ของเธอ (ไดแอน แลดด์) และพ่อของเธอ (บรูซ เดิร์น) ได้รับรางวัล “Family Star Ceremony” ครั้งแรกในงาน Hollywood Walk of Fame
เมื่อไม่นานนี้เดิร์นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Primetime Emmy® Award ปี 2013 สาขา “นักแสดงนำหญิงที่โดดเด่นในซีรี่ส์คอมเมดี้” จากการแดงของเธอในซีรี่ส์ต้นฉบับของ HBO ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ Enlightened ฤดูกาลที่ 2 เดิร์นได้รับรางวัล Golden Globe Award ปี 2012 สาขา “นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากทีวีซีรี่ส์, คอมเมดี้” จากการแสดงของเธอในฤดูกาลที่ 1 และซีรี่ส์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe ปี 2012 สาขา “ผลงานคอมเมดี้ทางทีวียอดเยี่ยม” นอกจากการแสดงในซีรี่ส์แล้ว เดิร์นยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารและผู้ร่วมผลิตคู่กับนักเขียนฯ และผู้กำกับฯ ที่มีผลงานมากมายอย่างไมค์ ไวท์ ในผลงานดาร์คคอมเมดี้ 30 นาที เดิร์นรับบท ‘เอมี่ เจลลิโค’ ที่ผู้ชมรู้จักเธอระหว่างที่เธอประสบปัญหาทางจิตใจในการทำงาน ซึ่งทำให้เธอต้องหาวิธีรักษา จนทำให้เธออาการดีขึ้น และพร้อมจะสร้างสันติกับแม่ของเธอ สามีเก่า อดีตพนักงาน และได้พบกับ ‘ปีศาจ’ ของเธอกับทัศนคติใหม่ของเธอ การแสดงของเธอเป็นการกลับมาร่วมงานกันระหว่างเธอกับ HBO ที่เธอแสดงเมื่อปี 2008 และได้รับรางวัล Emmy ของนักแสดงรวมในภาพยนตร์ เรื่อง Recount ฤดูกาลที่ 1 ของ Enlightened ที่ฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2011 เมื่อไม่นานนี้ซีรี่ส์ถึงบทสรุปของฤดูกาลที่ 2 และฤดูกาลสุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2013
เมื่อเดือนกันยายน 2012 เดิร์นแสดงในเรื่อง The Master ภาพยนตร์ที่กำกับฯ โดย พอล โธมัส แอนเดอร์สัน นำแสดงโดย โจควิน ฟีนิกซ์, ฟิลลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟแมน และ เอมี่ อดัมส์ ซึ่งเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้มีปัญญาที่มีบุคลิกโดดเด่น ซึ่งองค์กรแห่งศรัทธาเหล่านี้ได้เริ่มเข้าไปที่อเมริกา และคนเร่ร่อนอายุน้อยที่กลายเป็นมือขวาของเขา
เมื่อปี 2010 เดิร์นรับบทสะเทือนอารมณ์ในภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง Everything Must Go ร่วมกับวิล เฟอร์เรล และ รีเบ็คก้า ฮอล เดิร์นรับบท ‘เดลิลาห์’ เพื่อนเก่าในไฮสูคลที่เชื่อมั่นในตัวละครของวิล เฟอร์เรลที่ชื่อว่า ‘นิค’ เขามาด้วยหัวใจของเขาในทุกครั้งที่เขามาเยี่ยมโดยไม่ได้นัดหมาย ภาพยนตร์กำกับฯ โดย แดน รัช เป็นครั้งแรกของเขาและสร้างขึ้นจากเรื่องสั้นของเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ ภาพยนตร์ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2010 ที่งาน Toronto Film Festival
และในปี 2010 เดิร์นแสดงในภาพยนตร์ของ Universal Pictures เรื่อง Little Fockers ภาคต่อจากเรื่อง Meet the Parents และ Meet the Fockers ภาพยนตร์นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอนีโร, เบ็น สติลเลอร์, ดัสติน ฮอฟแมน และ บาร์บรา สเตรนแซนด์ ในภาพยนตร์เดิร์นรับบท ‘พรูเดนซ์’ ครูใหญ่ของโรงเรียนประถมที่ลูกของฟอคเกอร์เรียนอยู่ ในปี 2008 ภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง Recount เป็นการrevisited the controversial 2000 presidential election ที่ฟลอริด้า เดิร์นแสดงคู่กับเควิน สเปซีย์, บ็อบ บาลาบาน, เอ็ด เบ็กลีย์ จูเนียร์, จอห์น เฮิร์ต, เดนิส เลียรี่, บรูซ แม็คกิล และ ทอม วิลคินสัน เหล่านักแสดงมารับบทสำคัญของหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติศาสตร์สหรัฐฯ การแสดงของเธอในบท ‘แคทเธอรีน แฮร์ริส’ ทำให้เดิร์นได้รับรางวัล Golden Globe ปี 2008 สาขา “ซีรี่ส์ยอดเยี่ยม, มินิซีรี่ส์หรือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อทางทีวี” และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy Award และ Screen Actors Guild Award® ภาพยนตร์เขียนขึ้นโดย แดนนี่ สตรอง และกำกับฯ โดย เจย์ โรช
ในปี 2007 เดิร์นแสดงในเรื่อง Year of the Dog คู่กับมอลลี่ แชนนอน, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด และ รีไจน่า คิง ภาพยนตร์เขียนฯ และกำกับฯ โดยไมค์ ไวท์
ในปี 2006 เดิร์นแสดงตัวละครที่มีความแตกต่างกัน 3 บทบาท ในภาพยนตร์ของเดวิด ลินช์ เรื่อง “Inland Empire” ภาพยนตร์มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน Venice Film Festival และมีการฉายที่งาน New York Film Festival และ AFI Film Festival ที่งาน Independent Spirit Awards ปี 2007 Film Independent ได้มอบรางวัล Special Distinction Award ให้กับเดวิด ลินช์ และ ลอว์ร่า เดิร์น สำหรับการร่วมงานกันของพวกเขาในหนังเรื่องนี้ รวมถึงเรื่อง Blue Velvet และ Wild at Heart ภาพยนตร์มีการถ่ายทำทั้งเรื่องด้วยวีดีโอดิจิตอล StudioCanal ได้ร่วมทุนในโปรเจ็กต์ร่วมกับลินช์และแมรี่ สวีนีย์ หุ้นส่วนที่ร่วมผลิตผลงานกันมาอย่างยาวนาน
ในปี 2005 เดิร์นแสดงผลงานที่กำกับฯ โดย ทอดด์ โรบินสัน เรื่อง Lonely Hearts สร้างขึ้นจากเรื่องจริงปี 1940 ของ 2 นักสืบฆาตกรที่สะกดรอยตามมือสังหารจอมโหดที่รู้จักกันในนาม Lonely Heart Killers ที่จะล่อเหยื่อผ่านโฆษณาส่วนตัวของพวกเขา เดิร์นรับบทเป็นนักสืบ ‘มาร์ธ่า เบ็ค’ คู่กับจอห์น ทราโวลต้า
และในปี 2005 เดิร์นรับบทนักแสดงสมทบในภาพยนตร์ดาร์คคอมเมดี้ กำกับฯ โดย ดอน รูส เรื่อง Happy Endings ที่ร่วมงานกับเหล่านักแสดง อาทิเช่น แม็คกี้ จิลเลนฮาล, ลิซ่า คูโดรว์, ทอม อาร์โนลด์, เจสัน ริตเตอร์ และ บ็อบบี้ คานาเวล ภาพยนตร์มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน Sundance Film Festival และเป็นภาพยนตร์ปิดงาน Los Angeles Film Festival
เดิร์นแสดงคู่กับจูเลียน มัวร์ และ วูดดี้ แฮร์เรลสัน ในภาพยนตร์ปี 2005 ของ Dreamworks เรื่อง The Prize Winner of Defiance, Ohio กำกับฯ โดย เจน แอนเดอร์สัน ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวของซิงเกิลมัมที่ต้องเลี้ยงลูก 10 คนโดยร่วมเข้าแข่งขันงานต่างๆ โดยหวังว่าจะเป็นผู้ชนะรางวัล
ในปี 2004 เดิร์นแสดงในผลงานที่มีทั้งความซับซ้อนและความขัดแย้ง เรื่อง “Terry Linden” คู่กับมาร์ค รัฟฟาโล ในภาพยนตร์เรื่อง We Don’t Live Here Anymore ของ Warner Bros. Independent โดย Warner Bros. Independent ได้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์หลังจากที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เมื่อปี 2004 ในงาน Sundance Film Festival กำกับฯ โดย จอห์น เคอร์แรน และสร้างขึ้นจากเรื่องสั้น 2 เรื่องโดย อังเดร ดูบัส II (In the Bedroom) ดราม่าเรื่องนี้ได้เปิดเผยให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการแต่งงาน 2 ครั้งที่ไม่ลงเอยด้วยดี การแสดงของเดิร์นได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม และได้รับคำชมจากวงการ รวมถึงเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถในการปรับสภาพของเธออีกครั้งในการสวมบทบาทเป็นตัวละครที่เธอแสดง
เดิร์นแสดงในบทบาทหลากหลายในภาพยนตร์ที่ต่างกัน 3 แนวในปี 2001 เธอแสดงคู่กับฌอน เพ็นน์ และ มิเชล ไฟเฟอร์ ในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ของ New Line Cinema เรื่อง I Am Sam ในบทแฟนสาวซึ่งเป็นทันตแพทย์ที่น่าสงสัยของสตีฟ มาร์ติน ในภาพยนตร์ดาร์คคอมเมดี้ของ Artisan Entertainment เรื่อง Novocaine และแสดงคู่กับวิลเลียม เอช. มาซี่ ในเรื่อง Focus ของผู้กำกับฯ ครั้งแรก นีล สลาวิน ภาพยนตร์เรื่อง Focus มีการฉายในการแข่งขันที่งาน Toronto Film Festival เดิร์นมีการแสดงที่โดดเด่นในภาพยนตร์ของ Universal Pictures ปีนั้น เรื่อง “Jurassic Park III” ที่เธอกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ โจ จอห์นสตัน และนักแสดงชาย แซม นีล
สำหรับผลงานทางทีวี เมื่อปี 2001 เดิร์นถ่ายทอดการแสดงที่ชวนหลงใหลในภาพยนตร์ของ Showtime เรื่อง Damaged Care ที่เธอรับบท ‘ดร.ลินดา พีโน่’ ทนายและเป็นผู้เปิดเผยวิธีการดูแลของ HMO ที่มีตัวตนจริง เดิร์นยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ในโปรเจ็กต์นี้ด้วย ในช่วงต้นปีนั้นเดิร์นแสดงในผลงานของ Lifetime Television เรื่อง Within These Walls คู่กับเอลเลน เบอร์สไตน์ เดิร์นยังแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้แหวกแนวของ Showtime Television เรื่อง Daddy and Them ที่เขียนเรื่องและกำกับฯ โดย บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน
ในเดือนมกราคม 1999 Sundance Institute ได้มอบรางวัล Piper Heidseick Award ให้เดิร์นในสาขา Independent Vision (เมื่อไม่นานนี้ Sundance Instituteเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Independent Vision Award ซึ่งตามรอยเท้าของผู้ที่ได้รับเกียรติคนก่อนๆ เช่น นิโคลาส เคจ, ทิม ร็อบบินส์, เควิน สเปซีย์, เบเนซิโอ เดล โตโร และ จูเลียน มัวร์ ในแต่ละปี Sundance Film Festival จะเป็นผู้อบรางวัลให้เพื่อแสดงการยอมรับในเสียงและวิสัยทัศน์เดิมของนักแสดงที่มีความรับผิดชอบต่อการสร้างคุณงามความดีด้านศิลปะและจิตวิญญาณอันเป็นอิสระ
ในปี 1996 เดิร์นแสดงในภาพยนตร์แบล็คคอมเมดี้ของ Miramax Films ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ เรื่อง Citizen Ruth กำกับฯ โดย อลเกซานเดอร์ เพย์น ผู้กำกับหน้าใหม่ในตอนนั้น (หลังจากนั้นได้รับรางวัล Academy Award จากภาพยนตร์เรื่อง Election) เดิร์นแสดงเป็นสาววัยรุ่นไร้บ้านที่ติดกาว ตั้งท้องและกลายเป็นผู้เปิดเผยของกลุ่ม Pro-Life และ Abortion Rights ภาพยนตร์เรื่อง Citizen Ruth มีการฉายในงาน Montreal Film Festival ที่เดิร์นได้รับรางวัล “นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม” จากบทบาท
ในปี 1993 เธอแสดงคู่กับแซม นีล และ เจฟ โกดล์บลัม ในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกและทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศ ผลงานของสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Jurassic Park ผลงานภาคแรกจากไตรภาคเกี่ยวกับไดโนเสาร์ที่ถูกโคลน หลังจากปีนั้นเธอแสดงคู่กับคลินต์ อีสต์วูด และ เควิน คอสต์เนอร์ ในภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่อง A Perfect World ที่อีสต์วูดกำกับฯ
เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากสุดในปีนั้น ลอว์ร่า เดิร์นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award และ Golden Globe ในปี 1992 จากการแสดงของเธอในบท 'โรส' ในภาพยนตร์ชื่อดัง Rambling Rose กำกับฯ โดยมาร์ธา คูลิดจ์ และร่วมแสดงกับแม่ของเธอไดแอน แลดด์ จาเน็ต แมสลินแห่ง The New York Times ได้ยืนยันอย่างห้าวหาญว่าเดิร์นน่ารักอย่างน่าประหลาด จากการแสดงบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไปเพื่อพิสูจน์ตัวเองในฐานะสุดยอดนักแสดงตลก” ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่แม่/ลูกสาวร่วมกันเข้าชิงรางวัล Academy Award ในโปรเจ็กต์เดียวกัน
ในปี 1985 เดิร์นได้รับรางวัล New Generation Award จาก Los Angeles Film Critics สำรหับการแสดงของเธอในเรื่องราวที่ทันสมัย เรื่อง Smooth Talk และ Mask เธอแสดงในภาพยนตร์ 2 เรื่องของผู้กำกับฯ เดวิด ลินช์ ได้แก่ Blue Velvet เมื่อปี 1986 และ Wild at Heart ได้รับรางวัล Palme d' Or ที่งาน Cannes Film Festival ปี 1990 ซึ่งเธอร่วมแสดงกับนิโคลาส เคจ ผลงานเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียงของเดิร์น ได้แก่ ภาพนตร์ของโรเบิร์ต อัลต์แมน เรื่อง Dr. T and the Women, October Sky, Mask, Fat Man and Little Boy, Haunted Summer, Teachers, Foxes และ Ladies and Gentleman, The Fabulous Stains
เดิร์นกำกับฯ เป็นครั้งแรกในเรื่องสั้นอย่าง The Gift ที่ออกอากาศเป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ส์ "Directed By" โดย Showtime ในเดือนตุลาคม 1994 นักแสดงในเรื่อง ได้แก่ แมรี่ สตีนเบอร์เกน, บอนนี่ เบเดเลีย, อิซาเบล รอสเซลลินี่, แมรี่ เคย์ เพลซ, ปีเตอร์ ฮอร์ตัน และไดแอน แลดด์ แม่ของเธอเอง
ในปี 1997 เดิร์นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy Award และได้รับรางวัล American Comedy Award จากการเป็นแขกรับเชิญในผลงานคอมเมดี้ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เรื่อง Puppy Episode ของ ABC, Ellen. เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe ปี 1998 จากบทบาทของเธอในภาพยนตร์ของเจน แอนเดอร์สัน เรื่อง The Baby Dance อำนวยการสร้างฯ โดย Egg Productions ของโจดี้ ฟอสเตอร์ให้กับ Showtime ภาพยนตร์เรื่อง The Baby Dance ยังได้รับรางวัล Peabody Awards ปี 1998 ถึงสองรางวัล
เดิร์นได้รับรางวัล Golden Globe Award สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม รวมถึงเข้าชิงรางวัล Emmy และ Cable ACE จากการแสดงในภาพยนตร์ทางทีวีปี 1992 เรื่อง Afterburn ผลงานเรื่องอื่นทางทีวี ได้แก่ ซีรี่ส์นัวร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทาง Showtime เรื่อง Fallen Angels ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy และภาพยนตร์ต้นฉบับของ Showtime เรื่อง Down Came a Blackbird ที่เธออำนวยการสร้างฯ คู่กับวาเนสซ่า เรดเกรฟ และ รอล จูเลีย
จากควมซาบซึ้งและเคารพในพรสวรรค์ที่ครอบครัวเดิร์นได้นำมาสู่จอยักษ์และทางทีวี The Hollywood Entertainment Museum ได้มอบรางวัล Hollywood Legacy Award ให้บรูซ ไดแอน และลอว์ร่า
เดิร์นอาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิสร่วมกับลูกของเธออีก 2 คน
แซม แทรมเมล (ไมเคิล) ได้แสดงละครเวทีที่นิวยอร์คในช่วงที่สร้างเส้นทางการงานอันน่าประหลาดใจ ในภาพยนตร์อินดี้เป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้แซม แทรมเมลกำลังแสดงคู่กับแอนนา พาควิน ในซีรี่ส์ยอดนิยมที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทาง HBO เรื่อง True Blood
แทรมเมลเป็นชาวเวอร์จิเนียฝั่งตะวันตก เขาศึกษาที่ Brown University ที่เขาศึกษาด้านการแสดงตอนอยู่ปีสุดท้าย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้รับความสนใจและรางวัลจากการแสดงละครเวทีมากมาย ทั้งในบทนักพนันที่ถูกบังคับในการแสดง Off-Broadway ครั้งแรกของเขา เรื่อง Dealer’s Choice นักเขียนภาพชาวยอร์คเชียร์ที่แปลกประหลาด ในเรื่อง My Night With Reg และได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากการรับบทเป็นโธมัส วัลซิงแฮม ในละคร Off-Broadway เรื่อง Kit Marlowe เกี่ยวกับบทละครยุคเอลิซาเบ็ธในปี 1998 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Tony® จากการรับบทแสดงนำในละครบรอดเวย์แนวคอมเมดี้ของยูจีน โอ'นีล ที่นำกลับมาสร้างใหม่ เรื่อง Ah, Wilderness! ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่จับต้องผู้ชมนิวยอร์คซิตี้ แซมรับบทเป็นซอนนี่ ดูปรี อดีตอาชญากรที่พูดเร็วในผลงานคอมเมดี้แนวดราม่าแหวกแนวทาง ABC เรื่อง Maximum Bob ในผลงานของจอห์น เวลส์ เรื่อง Trinity ทางช่อง NBC และต่อมาได้แสดงในซีรี่ส์ต้นฉบับของ Showtime เรื่อง Going To California ที่เป็นเรื่องราวการผจญภัยของคนพเนจรวัย 20 สองคนที่เดินทางข้ามประเทศในรถBuick ปี 1966
แทรมเมลแสดงภาพยนตร์ในบทนักแสดงสมทบเป็นผู้ชายขายบริการ ในผลงานที่ฉายในงาน Sundance เรื่อง Beat ตามมาด้วยการฉาย เรื่อง Followers ดราม่าที่สร้างความสะเทือนใจที่เขาได้รับบทเป็นผู้ต้องให้คำมั่นสัญญาต่อการเป็นผู้ปกครองในสถานะผู้ปกครองที่ต้องตัดสินใจหลายอย่าง ซึ่งมีผลลัพธ์อันเป็นหายนะ ต่อมาเขารับบทฝาแฝดในภาพยนตร์โรดมูฟวี่แนวดราม่า เรื่อง Fear Of Fiction คู่กับเมลิสซ่า ลีโอ ตามมาด้วยการรับบทแสดงสมทบในเรื่อง Autumn In New York ร่วมกับริชาร์ด เกียร์ และ วิโนน่า ไรเดอร์ และภาพยนตร์อินดี้แนวดาร์คคอมเมดี้ เรื่อง The Details ร่วมกับโทบี้ แม็คไกวร์, เอลิซาเบ็ธ แบงค์ส และ ลอว์ร่า ลินนีย์ ต่อมาแซมแสดงในบททนายองค์กรและคู่หูของเขาที่เป็นอาชญากรไร้สภาพ ในเรื่อง Undermind
ผลงานที่มีชื่อเสียงของแซมก่อนหน้านี้ ได้แก่ ภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง Guns, Girls and Gambling คู่กับคริสเตียน สเลเตอร์ และ แกรี่ โอลด์แมน;, Long Time Gone คู่กับเวอร์จิเนีย แมดเซน ภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง Deadweight และภาพยนตร์แนวดราม่า เรื่อง White Rabbit กำกับฯ โดย ทิม แม็คแคนน์
แน็ต วูล์ฟ (ไอแซ็ค) ได้สร้างนิยามให้ตัวเองด้วยการเป็นหนึ่งในนักแสดงหน้าใหม่ที่ต้องจับตามองของวงการ นักแสดงชาย/นักดนตรี/นักประพันธ์ดนตรี/นักร้อง-นักแต่งเพลงได้ร่วมแสดงนำในเรื่อง Palo Alto กำกับฯ และดัดแปลงโดย จีอา คอพโพล่า จากเรื่องสั้นที่รวบรวมโดยเจมส์ ฟรังโก ภาพยนตร์มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน The Venice Film Festival เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 และ Toronto International Film Festival เมื่อเดือนกันยายน 2013 ในปีเดียวกันนั้นวูล์ฟได้แสดงในผลงานคอมเมดี้ที่ทันสมัย เรื่อง Behaving Badly คู่กับเซเลน่า โกเมซ นักแสดงวัยรุ่นที่น่าตื่นเต้น
วูล์ฟแสดงในภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ จอช บูน เรื่อง Stuck In Love เกี่ยวกับผู้แต่งฯ (เกร็ก คินเนียร์) ที่ห่างเหินกับภรรยาเก่าของเขา (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่) และปรับสภาพต่อการโตเป็นผู้ใหญ่ของลูกๆ ของพวกเขาที่เป็นวัยรุ่น (วูล์ฟและลิลลี่ คอลลินส์) ในระยะเวลาปีที่ยุ่งเหยิง ภาพยนตร์ได้รับคำชมอย่างมากจากการฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อปี 2012 ในงาน Toronto Film Festival และถูกซื้อไปโดย Millennium Entertainment การแสดงของวูล์ฟมีความโดดเด่นจน IndieWire ยกให้เขาอยู่ใน “10 นักแสดงที่น่าจับตามอง”
ก่อนหน้านี้เขาแสดงคู่กับทีน่า เฟย์ และ พอล รัดด์ ในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เรื่อง Admission ผลงานก่อนหน้านี้ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เรื่อง New Year’s Eve (2011), ภาพยนตร์คอมเมดี้ดราม่าในงาน Toronto Film Festival เรื่อง ผeace, Love and Misunderstanding คู่กับเจน ฟอนด้า, แคทเธอรีน คีเนอร์ และ เอลิซาเบ็ธ โอลเซน (2011) รวมถึงภาพยนตร์ทางทีวีชุดพิเศษ Mr. Troop Mom (2009)
ในปี 2005 วูล์ฟได้รับความสนใจเพียงช่วงข้ามคืนหลังจากแสดง และร้องนำ บรรเลงเพลง และแต่งเนื้อในภาพยนตร์เพลงแนวคอมเมดี้ เรื่อง The Naked Brothers Band: The Movie ซึ่งได้รับรางวัล Audience Award สาขา Family Feature Film จากงาน Hamptons International Film Festival หลังความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากเรื่อง The Naked Brothers Band: The Movie นิคเคโลเดียนได้แสดงทีวีซีรี่ส์ตอนแรก เรื่อง The Naked Brothers Band (2007-2009) ที่วูล์ฟได้รับรางวัล Broadcast Music Incorporated Cable Award จากการประพันธ์ดนตรีให้ซีรี่ส์ การถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Young Artists สองครั้ง และเข้าชิงรางวัล Kids’ Choice Award อีก 1 ครั้ง สาขานักแสดงนำชายทางทีวียอดเยี่ยม และเข้ชิงรางวัลสาขาวงดนตรียอดเยี่ยมที่งาน The Australian Kids Choice Awards
ความสามารถทางด้านดนตรีของวูล์ฟมีส่วนช่วยเหลือในอัลบั้มซาวด์แทร็ค 2 ชุดของรายการ และซิงเกิลเพลง “Crazy Car” ที่ขึ้นเป็นอันดับ 23 ใน Top 200 Billboard Charts ต่อมาเขาและน้องชายได้ตั้งวงที่มีชื่อว่า Nat & Alex Wolff และปล่อยอัลบั้มแรกของสตูดิโอที่มีชื่อว่า Black Sheep เมื่อปี 2011
ตอนนี้วูล์ฟอาศัยที่เมืองนิวยอร์คร่วมกับพอลลี่ เดรเปอร์ นักแสดงหญิงผู้เป็นแม่ของเขา และไมเคิล วูล์ฟ นักเล่นเปียโนแนวแจ๊สผู้เป็นพ่อของเขา งานอดิเรกของเขามีทั้งการเล่นบาสเก็ตบอลและการแต่งเพลง
วิลเลม ดาโฟ (ปีเตอร์ แวน ฮูเทน) ในปี 1979 เขาได้รับบทเล็กๆ ในภาพยนตร์ของไมเคิล ซิมิโน เรื่อง Heaven’s Gate ที่เขาถูกไล่ออก บทบาทแรกของเขาได้รับหลังจากภาพยนตร์ของแคทธริน บิเกโลว์ เรื่อง The Loveless ตั้งแต่นั้นมาเขาได้แสดงภาพยนตร์มากกว่า 80 เรื่องในฮอลลีวูด (John Carter, Spider-Man, The English Patient, Finding Nemo, Once Upon a Time in Mexico, Clear and Present Danger, White Sands, Mississippi Burning, Streets of Fire, American Dreamz) และภาพยนตร์อินดี้ในสหรัฐฯ (The Clearing, Animal Factory, The Boondock Saints, American Psycho) and abroad (Theo Angelopoulos’ The Dust of Time, Yim Ho’s Pavillion of Women, Yurek Bogayevicz’s Edges of the Lord, Wim Wenders’ Faraway, So Close ภาพยนตร์แยกเป็นตอนของโนบุฮิโระ ซูวะ เรื่อง Paris Je T’Aime, Brian Gilbert’s Tom & Viv, ภาพยนตร์ของคริสเตียน แคเรียน เรื่อง Farewell, Mr. Bean’s Holiday, ภาพยนตร์ของพี่น้องสเปียริก เรื่อง Daybreakers, ภาพยนตร์ของแดเนียล เนตเฮม เรื่อง The Hunter)
เขาได้รับเลือกให้แสดงหลายบทบาท และมีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับฯ เก่งๆ หลายคน เขามีผลงานในภาพยนตร์ของเวส แอนเดอร์สัน _(The Life Aquatic with Steve Zissou, The Fantastic Mr. Fox), มาร์ติน สกอร์เซซี่ (The Aviator, The Last Temptation of Chris), สไปค์ ลี (Insid e Man), จูเลียน ชนาเบล (Miral, Basquiat), พอล ชเรเดอร์ (Auto Focus, Light Sleeper, The Walker, Adam Resurrected), เดวิด โครเนนเบิร์ก (Existenz), อาเบล เฟอร์เรร่า (444: The Last Day on Earth, Go Go Tales, New Rose Hotel), เดวิด ลินช์ (Wild at Heart), วิลเลียม เฟรดคิน (To Live and Die in LA), เวอร์เนอร์ เฮอร์ซอก (My Son What Have Ye Done), โอลิเวอร์ สโตน (Born on the Fourth of July, Platoon), จิอาดา โคลาแกรนด์ (A Woman and Before It Had a Name) และลาร์ส วอน เทรียร์ (Antichrist, Manderlay)
เขาเข้าชิงรางวัล Academy Award สองครั้ง (Platoon และ Shadow of the Vampire) และรางวัล Golden Globe อีกครั้ง จากการเข้าชิงรางวัลและได้รับรางวัลอื่นๆ เขาได้รับรางวัล LA Film Critics Award และ Independent Spirit Award
ผลงานล่าสุดของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของเดวิด ลีตช์ และ แชด สตาเฮลสกี้ เรื่อง John Wick ภาพยนตร์ของแอนตัน คอร์บจิน เรื่อง A Most Wanted Man, ภาพยนตร์ของลาร์ส วอน เทรียร์ เรื่อง Nymphomaniac, ภาพยนตร์ของสก็อตต์ คูเปอร์ เรื่อง Out of the Furnace และภาพยนตร์ของคริส บริงเกอร์ เรื่อง Bad Country
ดาโฟเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง The Wooster Group experimental theatre collective ที่ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ค เขาก่อตั้งและสร้างผลงานของกลุ่มทุกเรื่องตั้งแต่ปี 1977-2005 ทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ เขาได้ร่วมงานกับริชาร์ด ฟอร์แมน ในเรื่อง Idiot Savant ที่ The Public Theatre (NYC) และล่าสุดในผลงานต่างประเทศร่วมกับโรเบิร์ต วิลสัน เรื่อง The Life & Death of Marina Abramovic และ The Old Woman คู่กับมิคาเอล แบรี่ชีคอฟ
ประวัติผู้สร้างภาพยนตร์
จอช บูน (ผู้กำกับฯ) สร้างผลงานในภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง Stuck in Love เขามาจาก Virginia Beach รัฐเวอร์จิเนีย ในช่วงวัยเด็กเขาเหมือนกับตัวละครในภาพยนตร์ของเจ.เจ.อับรัมส์ เรื่อง Super 8 มาก เพราะมีการสร้างโฮมวีดีโอร่วมกับเพื่อนๆ การสะสมเทปเบต้าจำนวนมากของพ่อเขาที่เปิดโลกแห่งภาพยนตร์ให้กับบูน เขามีความหลงใหลในผลงานคลาสสิคอย่าง Once Upon a Time in America, Five Easy Pieces, One Flew Over the Cuckoo’s Nest, The Godfather and Casablanca ตั้งแต่อายุ 12 ปี
ช่วงที่อยู่ไฮสคูลบูนได้ศึกษาด้านภาพยนตร์ในช่วงซัมเมอร์ที่ The North Carolina School for the Arts เขาย้ายไปที่ลอสแองเจลิสเมื่อปี 2002 และทำงานเป็นผู้ช่วยการถ่ายทำในภาพยนตร์หลายเรื่อง บูนใช้เวลาหลายปีในการเสาะหาโปรเจ็กต์ที่เขาเขียนเพื่อมากำกับฯ ในช่วงที่ทำงานที่ร้านขายแผ่นเสียง เมื่อสองปีที่แล้วเขานั่งเขียนอัตชีวประวัติเรื่อง Stuck in Love ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตของครอบครัวที่แตกแยกในช่วง 1 ปี บูนได้ถ่ายทอดบทภาพยนตร์ด้วยความหวังที่เต็มพร้อมไปด้วยสิ่งที่เขาเชื่อมั่นและให้ความสนใจ ผลงานของเขาเรียกความสนใจได้จากผู้สร้างฯ จูดี้ ไคโร ที่บูมตามหาตัวเพราะความดังของเธอจาก เรื่อง Crazy Heart
ผลงานต่อไปของบูนเป็นภาพยนตร์จากนิยายของสตีเฟ่น คิง เรื่อง The Stand ที่บูนจะดัดแปลงฯ และจะกำกับฯ
เขาอาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ร่วมกับภรรยาและลูกสาวของเขา
สก็อตต์ นูสแตดเตอร์ และ ไมเคิล เอช. วีเบอร์ (บทภาพยนตร์) เขียนบทให้ Fox Searchlight ในผลงานแนวคอมเมดี้/โรแมนซ์ เรื่อง (500) Days of Summer นำแสดงโดย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ และ โซอี้ เดสชาแนล ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – คอมเมดี้ที่งาน Golden Globes และพวกเขาได้รับรางวัล Independent Spirit Award และ Golden Satellite Award สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี พวกเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Writers Guild Award และได้รับรางววัล Hollywood Breakthrough Screenwriter Award เมื่อปี 2009
ตอนนี้พวกเขากำลังมีผลงานในโปรเจ็กต์ใหญ่หลายเรื่อง เช่น ผลงานการดัดแปลงเรื่อง Me Before You ที่สร้างขึ้นจากนิยายขายดีของโจ โมเยส ที่มีจำหน่ายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านก็อปปี้ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Book of the Year ในงาน Galaxy Book Awards ปี 2012 ผลงานโปรเจ็กต์เรื่องอื่นของเขายังมี Rules of Civility ผลงานการดัดแปลงจากนิยายที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ของอามอร์ โทว์เลส ให้กับ Lionsgate; Underage เรื่องราวของเสือผู้หญิงที่กลับบ้านพร้อมกับสาวผิดคนผ่าน Montecito Pictures; Where’d You Go Bernadette ผลงานการดัดแปงจากนิยายขายดีของมาเรีย เซมเพิล ให้กับ Annapurna และ Rosaline, ผลงานของเช็คสเปียร์ เรื่อง Romeo and Juliet ที่ถ่ายทอดผ่านจากมุมมองของแฟนเก่าโรมีโอที่ 21 Laps จะสร้างให้กับ Universal
ทั้งคู่ร่วมงานกันตั้งแต่ปี 1999 ตอนที่สก็อตต์ได้ว่าจ้างไมเคิลให้มาช่วยงานที่ Tribeca Productions ในนิวยอร์ค บทภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาจำหน่ายให้กับ 20th Century Fox เมื่อปี 2005 ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาได้เขียนเรื่องให้กับ Sony, Universal, Warner Bros., Paramount, Fox และ Disney
นูสแตดเตอร์ได้ย้ายมาจาก Margate, NJ และตอนนี้อาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูก เขาหลงใหลเพลงเศร้าแนวป๊อปของชาวอังกฤษและภาพยนตร์เรื่อง THE GRADUATE วีเบอร์เกิดที่เมืองนิวยอร์คและสำเร็จการศึกษาจาก The Newhouse School of Public Communications ที่ Syracuse University ตอนนี้อาศัยอยู่ที่แมนฮัตตันระหว่างที่ถูกรบเร้าให้ย้ายไปที่บรูคลิน
จอห์น กรีน (ผู้แต่งฯ) เป็นผู้แต่งฯ ที่ได้รับรางวัลเจ้าของหนังสือขายดีอันดับ 1 เรื่อง Looking for Alaska, An Abundance of Katherines, Paper Towns, Will Grayson, Will Grayson (ร่วมกับเดวิด เลวีธาน) และ The Fault in Our Stars รางวัลมากมายของเขา ได้แก่ Printz Medal, Printz Honor และ Edgar Award เขาเป็นผู้เข้าชิงรางวัล LA Times Book Prize รอบสุดท้ายถึงสองครั้ง
จอห์นเป็นอีกครึ่งหนึ่งของ Vlogbrothers (youtube.com/vlogbrothers) ร่วมกับน้องชายของเขาที่ชื่อแฮงค์ ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ออนไลน์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง คุณสามารถร่วมเป็นหนึ่งในล้านที่ติดตามจอห์นผ่านทางทวิตเตอร์ (@realjohngreen) และ tumblr (fishingboatproceeds.tumblr.com) หรือชมผลงานออนไลน์ของเขาได้ที่ johngreenbooks.com
จอห์นอาศัยร่วมกับครอบครัวของเขาที่อินเดียนาโพลิส รัฐอินเดียน่า
ไวแอค กอดฟรีย์ (ผู้อำนวยการสร้างฯ) ได้เริ่มทำงานในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ที่ New Line Cinema หลังสำเร็จการศึกษาจาก Princeton University เมื่อปี 1990 ด้านศิลปศาสตร์ เอกวรรณกรรมอังกฤษ ระหว่างที่อยู่นั่นเขาได้ร่วมงานในผลงานยอดนิยมหลายเรื่อง เช่น The Mask, Dumb and Dumber และภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่ได้รับความนิยม เช่น House Party และแฟรนไชส์เรื่อง Nightmare on Elm Street เมื่อปี 1995 เขาได้ย้ายมาร่วมงานที่บริษัทผลิตภาพยนตร์ของพอล ชิฟฟ์ และ ไมเคิล ลอนดอน ที่มีชื่อว่า Horizon Pictures ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายการผลิต เขาได้ควบคุมผลงานที่อยู่ในขั้นการพัฒนาและพนักงานที่ 20th Century Fox
เขาได้ร่วมงานกับจอห์น เดวิส ที่ Davis Entertainment สองปีหลังดำรงตำแหน่งรองประธานบริหาร เขาได้ควบคุมผลงานแอ็คชั่นยอดนิยม เรื่อง Behind Enemy Lines กำกับฯ โดย จอห์น มัวร์ นำแสดงโดย โอเวน วิลสัน และ จีน แฮ็คแมน เขาได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นประธานเมื่อปี 2001 และหลังจากปีนั้นได้พัฒนารวมถึงผลิตผลงานคอมเมดี้สำหรับครอบครัว เรื่อง Daddy Day Care กำกับฯ โดยสตีเฟ คาร์ นำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ในปี 2003 เขาได้ผลิตผลงานเรื่องดังแห่งช่วงซัมเมอร์ เรื่อง I, Robot นำแสดงโดย วิล สมิธ กำกับฯ โดย อเล็กซ์ โพรยาส และภาพยนตร์ผจญภัย เรื่อง Flight of the Phoenix ผลงานเรื่องที่สองที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ จอห์น มัวร์ เขายังพัฒนาและอำนวยการสร้างบริหารให้เรื่อง Alien vs. Predator กำกับฯ โดย พอล ดับบลิว.เอส.แอนเดอร์สัน กอดฟรีย์อำนวยการสร้างในเรื่อง When A Stranger Calls ให้กับ Screen Gems และผลงานของ 20th Century เรื่อง Eragon ที่สร้างขึ้นจากนิยายขายดี โดยรวมแล้วเขาอำนวยการสร้างหรืออำนวยการสร้างบริหารผลงาน 8 เรื่องตั้งแต่ปี 2002-2006
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 กอดฟรีย์ได้ออกจากที่ Davis Entertainment และร่วมหุ้นกับเพื่อนของเขาเพื่อก่อตั้งบริษัท United Talent Agency กับมาร์ตี้ โบเวน เพื่อสร้างบริษัทผลิตภาพยนตร์ของตัวเองที่ชื่อว่า Temple Hill Entertainment ขึ้นมา พวกเขาได้เซ็นต์สัญญากับ New Line Cinema และได้สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกทันทีคือ The Nativity Story กำกับฯ โดย แคทเธอรีน ฮาร์ดวิค ผลงานธีมคริสต์มาสที่ใช้ต้นทุนพอประมาณแต่กวาดรายได้ในประเทศไปเกือบ 40 ล้านเหรียญในช่วงเดือนธันวาคม 2006 ต่อมาทั้งคู่ได้ผลิตภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เรื่อง Management นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน และ สตีเฟ ซาน ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2008 ที่งาน Toronto Film Festival
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของบริษัทเริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 เมื่อพวกเขาได้ร่วมงานกับ Summit Entertainment ในการผลิตผลางนภาคแรกของ The Twilight Saga ที่สร้างขึ้นจากหนังสือชุดที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางของสเตฟานี่ เมเยอร์ กำกับฯ โดยแคทเธอรีน ฮาร์ดวิค ภาพยนตร์เรื่อง Twilight เป็นการเปิดสัมผัสประสบการณ์แห่งป๊อปคัลเจอร์แบบใหม่ มีการเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2008 ทำลายสถิติไป 69.6 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่เปิดตัว ภาพยนตร์มูลค่า 40 ล้านเหรียญได้กวาดรายได้ทั่วโลกไปเกือบ 400 ล้านเหรียญและมีการสร้างเป็นหนังแฟรนไชส์ขึ้นมา ภาพยนตร์เรื่อง The Twilight Saga: New Moon ของคริส วีตซ์มีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่คล้ายกันตอนที่ฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 และกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 700 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์ของเดวิด สเลด เรื่อง The Twilight Saga: Eclipse เปิดตัวเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2010 กวาดรายได้ในสหรัฐฯ ไปมากกว่า 300 ล้านเหรียญและทั่วโลกเกือบ 700 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์ของบิล คอนดอน เรื่อง The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 เปิดตัวเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2011 และกวาดรายได้ทั่วโลกไป 705 ล้านเหรียญ ผลงานแฟรนไชส์ตอนจบ เรื่อง The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 2 เปิดตัวเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2012 และกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 800 ล้านเหรียญ
ตั้งแต่ผลงานแห่งตำนาน Twilight บริษัท Temple Hill ได้ผลิตภาพยนตร์ 2 เรื่องที่ประสบความสำเร็จโดยดัดแปลงจากหนังสือของนิโคลาส สปาร์คส ได้แก่ Dear John นำแสดงโดย แชนนิ่ง ทาทัม และ อแมนด้า ไซย์ฟรีด และเรื่อง Safe Haven นำแสดงโดย จอช ดูฮาเมล และ จูเลียน โฮ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องกำกับฯ โดยผู้กำกับฯ เจ้าของรางวัล Oscar แลสซี่ ฮัลสตรอม
บริษัท Temple Hill ได้ลงทุนในโลกของภาพยนตร์อินดี้โดยการผลิต เรื่อง Everything Must Go เขียนและกำกับฯ โดย แดน รัช นำแสดงโดย วิล เฟอร์เรล จัดจำหน่ายโดย Roadside Attractions และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เมื่อปี 2010 ภาพยนตร์ของแชนนิ่ง ทาทัม เรื่อง 10 Years เขียนและกำกับฯ โดย เจมี่ ลินเดน ผู้แต่ง Dear John ตอนนี้บริษัทกำลังพัฒนาภาพยนตร์อินดี้แอ็คชั่นทริลเลอร์ เรื่อง Tracers นำแสดงโดย เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์
ในปี 2012 Temple Hill ได้เซ็นต์สัญญาร่วมกับ 20th Century Fox ซึ่งนำไปสู่การผลิตเรื่อง A Good Day to Die Hard นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส และ ไจ คอร์ตนีย์ บริษัทเพิ่งปิดกล้องจากการสร้าง เรื่อง The Maze Runner ที่อิงจากหนังสือชุดเรื่องแรกที่ขายดีของ YA จากเจมส์ แดชเนอร์
โดยรวมแล้วกอดฟรีย์มีผลงาน 22 เรื่อง ทำรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 5 พันล้านเหรียญ
มาร์ตี้ โบเวน (ผู้อำนวยการสร้างฯ) เริ่มทำงานที่โครงการฝึกงาน UTA และเลื่อนขั้นเป็นเอเย่นต์จนเป็นหุ้นส่วนในท้ายที่สุด เขาเป็นตัวแทนให้กับชาร์ลี คอฟแมน, เจฟฟ์ แชฟเฟอร์, เบอร์นี่ แม็ค, เจมส์ แกนดอลฟินี่ และ เวสีย์ สไนป์ส
โบเวนออกจากการเป็นหุ้นส่วนและตัวแทนที่ UTA เพื่อทำงานด้านการผลิตในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2006 โบเวนร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างฯ ที่มากประสบการณ์อย่างไวแอค กอดฟรีย์ เพื่อก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ส่วนตัวที่ชื่อว่า Temple Hill Entertainment พวกเขาได้เซ็นต์สัญญาร่วมกับ New Line Cinema และผลิตภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาทันทีอย่าง The Nativity Story ของผู้กำกับฯ แคทเธอรีน ฮาร์ดวิค พวกเขายังผลิตโรแมนติกคอมเมดี้ที่สร้างโดย Sydney Kimmel Entertainment เรื่อง Management นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ อนิสตัน และ สตีเฟน ซาน ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2008 ในงาน Toronto Film Festival และฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2009
ผลงานการผลิตที่โดดเด่นจาก Temple Hill Entertainment เป็นผลงานการกำกับฯ ของแคทเธอรีน ฮาร์ดวิคแนวรักแฟนตาซี เรื่อง Twilight ที่สร้างขึ้นจากหนังสือชุดขายดีของสเตฟานี่ เมเยอร์ หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง ได้รับความนิยมอย่างมากและกวาดรายได้ทั่วโลกไปเกือบ 400 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยผลงานของคริส วีตซ์ เรื่อง The Twilight Saga: New Moon ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 700 ล้านเหรียญ ผลงานภาคที่ 3 ของแฟรนไชส์จากเดวิด สเลด เรื่อง The Twilight Saga: Eclipse ประสบความสำเร็จด้านรายได้คล้ายกัน ภาพยนตร์ของบิล คอนดอน เรื่อง The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 และกวาดรายได้ไป 700 ล้านเหรียญ ขณะที่ตอนจบ เรื่อง The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 2 เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012 และกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 700 ล้านเหรียญในช่วงเวลาเพียง 3 สัปดาห์
นอกจากเรื่อง The Twilight Saga บริษัท Temple Hill Entertainment ยังผลิตภาพยนตร์เรื่อง Everything Must Go นำแสดงโดยวิล เฟอร์เรล; ภาพยนตร์ของแลสซี่ ฮัลสตรอม เรื่อง Dear John นำแสดงโดย แชนนิ่ง ทาทัม และ อแมนด้า ไซย์ฟรีด สร้างขึ้นจากนิยายขายดีของนิโคลาส สปาร์คส; Ten Year เขียนและกำกับฯ โดยเจมี่ ลินเดน ผู้แต่งฯ Dear John และนำแสดงโดยแชนนิ่ง ทาทัม และ จัสติน ลอง และ Safe Haven กำกับฯ โดย แลสซี่ ฮัลสตรอม นำแสดงโดย จอช ดูฮาเมล และ จูเลียน โฮ
ในปี 2011 Temple Hill Entertainment ได้ขยายตัวสู่วงการภาพยนตร์ด้วยรายการแรกของพวกเขาที่มีชื่อว่า Revenge ผลิตโดยไมค์ เคลลี่ นำแสดงโดย เอมิลี่ แวน แคมป์ และ มาเดลีน สโตว์ ซึ่งผลงานเรื่องนี้อยู่ในช่วงฤดูกาลที่ 3 ออกอากาศวันอาทิตย์เวลา 3 ทุ่มทางช่อง ABC
ก่อนหน้านี้ Temple Hill เพิ่งปิดกล้องจากภาพยนตร์แอ็คชั่นสไตล์ parkour เรื่อง Tracers กำกับฯ โดย แดเนียล เบ็นมาเยอร์ นำแสดงโดย เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์
มิเชล อิมเพราโต้ สตาไบล์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างแห่ง 20th Century Fox ให้เรื่อง The Heat อิมเพราโต้ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างฯ ในภาพยนตร์ของ Universal Pictures และคริสเมเลดานดรี้ เรื่อง Hop รวมถึง Summit Entertainment ในเรื่อง Twilight
อิมเพราโต้ย้ายจากนิวยอร์คไปที่ลอสแองเจลิสเมื่อปี 1988 และเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยกองถ่าย เธอกลายเป็นสมาชิกของ DGA เมื่อปี 1991 และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ผู้ร่วมอำนวยการสร้างฯ associate producer และผู้จัดการกองถ่ายย่อย ตลอดการทำงานอิมเพราโต้ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ ผู้เขียนฯ และนักแสดงชื่อดังหลายคน ไม่เว้นแต่ไมค์ นิโคลส์, อีเลน เมย์, ริดลีย์ สก็อตต์, ไบรอัน เดอ พัลม่า และ ฮาโรลด์ รามิส
ผลงานที่มีชื่อเสียงของอิมเพราโต้ ได้แก่ Birdcage, Primary Colors, Wolf, Postcards from the Edge, Honeymoon in Vegas, GI Jane, Alvin and the Chipmunks และ Garfield
อิมเพราโต้กับบิลลี่สามีของเธออาศัยอยู่ที่ฟาร์มใน Hidden Valley ร่วมกับม้า 6 ตัวและสุนัขอีก 6 ตัว เธออยากเป็นนักขี่ม้าและหวังว่าสักวันจะได้เปิดสถานที่พักพิงให้สัตว์ไร้บ้าน
ไอแซค คลอสเนอร์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) เป็นผู้บริหารแห่งบริษัท Temple Hill Entertainment บริษัทอำนวยการผลิตซึ่งตั้งอยู่ที่ลอสแองเจลิส เขาได้ร่วมงานในภาพยนตร์ เรื่อง The Twilight Saga: New Moon, The Twilight Saga: Eclipse และ Dear John
เบ็น ริชาร์ดสัน (ผู้กำกับภาพ) เป็นที่รู้จักดีจากผลงานของเขาในภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar เรื่อง Beasts of The Southern Wild ที่เขาได้รับรางวัลตากล้องยอดเยี่ยมทั้งในงาน Sundance Film Festival ปี 2012 และ Independent Spirit Awards ปี 2013
ผลงานต่อมาของเขา Drinking Buddies กำกับฯ โดย โจ สวอนเบิร์ก นำแสดงโดย โอลิเวีย ไวลด์, เจค จอห์นสัน, แอนนา เคนดริค และ รอน เลวิงสตัน ฉายครั้งแรกในงาน SXSW ปี 2013 และฉายโดย Magnolia Pictures
ซัมเมอร์นี้เบ็นถ่ายทำ เรื่อง Cut Bank กำกับฯ โดย แม็ตต์ แชงค์แมน และนักแสดงในภาพยนตร์ ได้แก่ จอห์น มัลโควิช, เลียม เฮมส์เวิร์ธ, เทเรซ่า พัลเมอร์, ไมเคิล สตัลบาร์ก, บรูซ เดิร์น และ บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน
เบ็นร่วมกำกับฯ และถ่ายทำเรื่อง Seed ที่ได้รับรางวัลแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมในงาน Slamdance ปี 2010 และผลงานที่มีชื่อเสียงซึ่งเขาถ่ายทำ ได้แก่ ผลงานที่ได้รับรางวัลมากมาย Glory at Sea และ The Hunter and The Swan Discuss Their Meeting ซึ่งได้รับเลือกในงาน Sundance ปี 2011 อย่างเป็นทางการ
เบ็นย้ายมาจากอังกฤษ เบ็นอาศัยอยู่ที่ Prague เป็นเวลา 5 ปีและตอนนี้อาศัยอยู่ที่บรูคลิน
มอลลี่ ฮิวจ์ส (ผู้ออกแบบฉาก) เริ่มทำงานในแผนกศิลป์เมื่อปี 1998 ในภาพยนตร์เรื่อง The Legend of Bagger Vance กำกับฯ โดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และภาพยนตร์ที่กำกับฯ โดยสแตนลีย์ ทุชชี่ เรื่อง Joe Gould’s Secret เธอใช้เวลานานนับ 10 ปีในฐานะผู้กำกับศิลป์ เขามีชื่อเสียงมากที่ลอนดอนในภาพยนตร์แฟรนไชส์ Harry Potter หกเรื่องร่วมกับผู้ออกแบบฉากฯ สจ๊ว เครก ฮิวจ์สยังทำหน้าที่เป็นผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์ของสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Warhorse และภาพยนตร์ของโทนี่ กิลรอย เรื่อง The Bourne Legacy
ฮิวจ์สออกแบบในเรื่อง Two Night Stand ให้ผู้กำกับฯ แม็กซ์ นิโคลส์ และ Flynn Pictures ซึ่งผลงานแรกของเธอคือการทำหน้ที่เป็นผู้ออกแบบฉาก ผลงานของเธอคือภาพยนตร์ของเอมี่ เบิร์ก เรื่อง Every Secret Thing ให้กับ Likely Story และผู้อำนวยการสร้างฯ ฟรานเชส แม็คดอร์แมนด์ ต่อมาได้ออกแบบให้หนังสั้นของ Canon Imagination Project ร่วมกับผู้กำกับฯ จอร์จีน่า แชปแมน
ร็อบ ซัลลิแวน (ผู้ลำดับภาพ) ได้ลำดับภาพให้ภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ จอช บูน เรื่อง Stuck in Love ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้ลำดับภาพ ได้แก่ A Beer Tale, London Boulevard, The New Daughter, Possession, The Burrowers และ Rise: Blood Hunter ซัลลิแวนยังลำดับภาพให้ผลงานหลายเรื่อง เช่น A Good Year, Unfaithful, Erin Brockovich, Out of Sight and October Sky รวมถึงภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ
ไมค์ โมจิส และ นาธาเนียล วัลคอตต์ (ดนตรี) เป็นสมาชิกของวง Bright Eyes และผู้ประพันธ์ดนตรีให้ภาพยนตร์ วัลคอตต์เป็นทั้งนักแต่งเพลง ผู้เรียบเรียงดนตรี นักเล่นคีย์บอร์ด และนักเล่นทรัมเป็ต เขายังเล่นดนตรีให้_ Mystic Valley Band ของโคนอร์ โอเบิร์สต และนักร้อง/นักแต่งเพลง เอ็ม. วอร์ด เขายังออกทัวร์ร่วมกับเจมส์ เมอร์เซอร์ และคณะ Broken Bells ที่นำโดย Danger Mouse, Rilo Kiley และ Glenn Miller Orchestra ส่วนในสตูดิโอเขาได้ช่วยเรียบเรียงเพลงให้ศิลปินอย่าง Eleni Mandell, Harper Simon, Maria Taylor, Pete Yorn, Cursive, The Faint, Rilo Kiley, Rachael Yamagata และ The Concretes
เขาสร้างผลงานที่โดดเด่นร่วมกับ Bright Eyes ในช่วงเวลาหลายปี รวมถึงการออกทัวร์หลายครั้งที่อเมริกาเหนือและใต้ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย รวมถึงมีการแสดงที่ Radio City Music Hall และ Royal Albert Hall ที่ลอนดอน เมื่อปี 2007 วัลคอตต์ได้แต่งเพลงให้กับการแสดงของวงดนตรีที่ Hollywood Bowl ร่วมกับ Los Angeles Philharmonic
เขาได้ร่วมงานกับไมค์ โมจิส สมาชิกในวง Bright Eyes เพื่อแต่งเพลงให้ภาพยนตร์ 2 เรื่อง ได้แก่ Lovely Still นำแสดงโดย อัลเลน เบอร์สติน ที่มีชื่อเสียงและมาร์ติน แลนดาว และล่าสุดในภาพยนตร์ที่จอช บูนเขียนและกำกับฯ เรื่อง Stuck in Love นำแสดงโดย เกร็ก คินเนียร์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่, ลิลลี่ คอลลินส์, โลแกน เลอร์แมน, แน็ต วูล์ฟ และ คริสเทน เบล
โมจิสเป็นโปรดิวเซอร์/วิศวกรชาวเนบราสก้า และนักดนตรีหลายชนิดที่ร่วมงานกับเอ.เจ. โมจิสน้องชายของเขาเพื่อก่อตั้ง Presto! Recording Studios (ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Dead Space Recording และ Whoopass Recording ในช่วงแรก)
เขาได้ดูแลและได้สร้างสรรค์ และแสดงในการแสดงมากมายของ Saddle Creek เช่น Bright Eyes, The Faint, Rilo Kiley, Cursive, The Good Life, Lullaby for the Working Class, Jenny Lewis, Tilly and the Wall และ Elizabeth & The Catapult เขายังแต่งอัลบั้มให้กับ Rachael Yamagata อีกด้วย
โมจิสยังเป็นสมาชิกของทั้ง Lullaby for the Working Class และ We'd Rather Be Flying โดยส่วนใหญ่แล้วเขาจะเล่นกีตาร์ ซึ่งเขายังเล่นแมนโดลิน, แบนโจ, กีตาร์ steel, เครื่องดนตรีประเภทตี และ hammered dulcimer ในบรรดาเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ร่วมงานกับ Lightspeed Champion หรือ Devonte Hynes อดีตสมาชิกของ Test Icicles ในอัลบั้มแรกของเขา Falling Off the Lavender Bridge ตอนี้เขาเป็นสมาชิกของ Monsters of Folk ที่มีขนาดใหญ่
แมรี่ แคลร์ ฮานแนน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เป็นขวัญใจของผู้กำกับฯ มือใหม่ที่สามารถแปลงมุมมองของผู้สร้างฯ ให้กลายเป็นเสื้อผ้าที่มีสไตล์ท้าทาย มีแนว และดูสร้างสรรค์ เธอเริ่มจากการร่วมงานกับควินติน ตารานติโน่ และได้มาออกแบบให้ภาพยนตร์หลายคนที่มีจินตนาการ เช่น ฌอน เพ็นน์, ไมเคิล คอสต้า และ ลิซ่า โคโลเดนโก้ นอกจากนั้นยังออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเดวิด เอเยอร์ เรื่อง Sabotage ฮานแนนได้ผลิตเครื่องแต่งกายให้ผลงานแนวดราม่าที่น่ายกย่องของผู้กำกับฯ End of Watch นำแสดงโดย เจค จิลเลนฮาน เธอได้ออกแบบเสื้อผ้าให้ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของโคโลเดนโคที่เข้าชิงรางวัล Oscar เรื่องล่าสุด The Kids Are All Right ซึ่งแสดงโดย แอนเน็ต์ เบนนิ่ง, จูเลียน มัวร์ และ มาร์ รัฟฟาโล่ เสื้อผ้าของฮานแนนในภาพยนตร์ปรากฏให้เห็นในงาน Annual Art of Motion Picture Costume Design Exhibition ปี 2011
ในปี 2007 นักแสดง/ผู้กำกับฯ เพ็นน์ได้ติดต่อฮานแนนให้มาออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์ของเขา เรื่อง Into the Wild นำแสดงโดย เอมิลี่ เฮิร์ช ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สองครั้งโดยได้รับรางวัลและชื่อเสียงมากมาย ฮานแนนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Costume Designers Guild สาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ – แนวร่วมสมัย
ฮานแนนเริ่มอาชีพการออกแบบในฐานะผู้ควบคุมดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์ของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง Reservoir Dogs เธอได้เลื่อนขั้นไปพร้อมกับตารานติโน่ โดยได้เป็นผู้ช่วยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในเรื่อง Pulp Fiction และต่อมาได้เป็นหัวหน้าแผนกในเรื่อง Jackie Brown