กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--IR PLUS
“แอลดีซี เด็นทัล” หรือ LDC ผู้ให้บริการทางทันตกรรมแบบครบวงจร นำโดย 'ทพ.วัฒนาชัยวัฒน์' คุณหมอเอ็มดีคนเก่ง 'สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม' CEO แอสเซทโปรฯ ที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมด้วย 'วิชา โตมานะ' เอ็มดี บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) Lead underwriter เตรียมเดินหน้าโรดโชว์ 10 จังหวัด ระหว่างวันที่ 18 ก.ค. ถึง 1 ส.ค. 57 นี้ เริ่มที่ จ.ชลบุรี และปิดท้ายที่ กรุงเทพฯ เชื่อนักลงทุนให้การตอบรับเข้าฟังข้อมูลล้นหลามและเทรดตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินระดมทุนขยายศูนย์ทันตกรรมในภูมิภาคต่างๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน มั่นใจธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเป็น ศูนย์ทันตกรรมที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานในการบริการที่ครบวงจร
ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (LDC) ผู้ให้บริการศูนย์ทันตกรรมทันตแพทย์เฉพาะทางในนามศูนย์ทันตกรรม แอลดีซี เปิดเผยว่า การนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนใน 10 จังหวัดทั่วประเทศนั้นถือเป็นโอกาสดีในการนำเสนอข้อมูลบริษัทให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างของสังคมการลงทุน ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ทันตกรรมแบบครบวงจรภายใต้รูปแบบศูนย์ทันตกรรม โดยมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการภายใต้ ทันตแพทย์เฉพาะทาง อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน และระบบความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสำคัญ ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับการรับรองคุณภาพ Hospital Accreditation (HA) ชั้นที่ 1 จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ในหลายสาขา ซึ่งใบรับรองดังกล่าวครบกำหนดอายุแล้ว อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 บริษัทฯ มีแผนงานที่จะขอใบรับรองดังกล่าว เพื่อเป็นมาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่องค์กรและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มาใช้บริการ ตลอดจนสามารถขยายการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพ
ปัจจุบัน (ณ เมษายน 2557) LDC มีสาขาทั้งหมด 19 สาขา เป็นคลินิกทันตกรรมขนาดใหญ่ 8 สาขา ขนาดกลาง 11 สาขา และขนาดเล็ก 1 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และมีห้องทันตกรรมให้บริการรวม 105 ห้อง โดยในปี 2557 บริษัทฯ มีแผนขยายสาขา LDC Dental จำนวน 5 สาขา ซึ่งได้มีการลงทุนสาขาใหม่ 2 สาขาแล้ว คือสาขารามอินทรา กม. 10 (เปิดให้บริการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 แล้ว) และสาขาศาลายา (คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2557) สำหรับสาขาใหม่ที่เหลือตามแผนข้างต้นนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการสำรวจทำเลที่เหมาะสมทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองจังหวัดใหญ่ในแต่ละภูมิภาค
“ผมมั่นใจว่า LDC มีความแตกต่างจากธุรกิจทันตกรรมอื่นๆ ทั่วไป เราเป็นคลินิกทันตกรรมรายแรกที่มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ซึ่งการระดมทุนผ่านตลาดทุนช่วยให้มีระบบตรวจสอบ มีบรรษัทภิบาลที่ดี และเป็นที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว โดยการวางแผนเดินทางไปโรดโชว์ในหัวเมืองสำคัญจะทำให้นักลงทุนเข้าใจธุรกิจ LDC มากขึ้น ซึ่งเราถือได้ว่าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจทันตกรรมครบวงจรที่มีมาตรฐาน อุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย และการจัดการห้องปลอดเชื้อที่มีประสิทธิภาพ บุคลากรทันตแพทย์เฉพาะทางที่มีความสามารถ ทั้งยังมีจุดเด่นเรื่องความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการ เพราะเรามีสาขาครอบคลุมเขตพื้นที่ชุมชนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ฝึกอบรมผู้ช่วยทันตกรรมภายใต้การบริหารงานของบริษัท เราจึงไม่มีปัญหาขาดแคลนบุคคลากรผู้ช่วยทันตกรรม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นจุดแข็งทางธุรกิจของ LDC” ทันตแพทย์วัฒนากล่าว
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จํากัด เปิดเผยในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) (LDC) ว่า LDC ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของสำนักงานก.ล.ต. การเตรียมพร้อมในการนำเสนอข้อมูล LDC ต่อนักลงทุนระหว่างวันที่18 กรกฎาคม ถึง 1 สิงหาคม 2557 นี้ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี, ราชบุรี, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, พิษณุโลก, สงขลา, ภูเก็ต และกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลธุรกิจของ LDC ซึ่งถือเป็นธุรกิจทันตกรรมแบบบครบวงจรรายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ
โดยงวดปี 2556 LDC มีรายได้รวม 350.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 2555 ที่มีรายได้รวม 315.54 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นในอัตรา 11.07% ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2556 อยู่ที่ 13.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 11.25 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 17.42% ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของรายได้และกำไรมาจากอัตราการใช้บริการเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2556 บริษัทฯ มีอัตราการเข้าใช้บริการเฉลี่ย 62.52% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดปี 2555 ที่มีอัตราการเข้าใช้บริการเฉลี่ย 53.28% ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนสาขา ส่งผลให้สามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น และเข้าถึงกลุ่มผู้รับบริการมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 70 ล้านบาท เป็นหุ้นจำนวน 280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาท/หุ้น ทั้งนี้ LDC อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (สำนักงาน ก.ล.ต.)
“LDC วางแผนการเดินสายโรดโชว์ทั้งสิ้น 10 จังหวัด เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนในภูมิภาค คาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมรับฟังข้อมูลทั้งหมดกว่า 2,000 คน เนื่องจากบริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการมีมาตรฐานและคุณภาพในการประกอบวิชาชีพทางทันตกรรมที่เฉพาะทาง รวมถึงการขยายสาขาที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค ที่ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มช่องทางในสัดส่วนรายได้ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจและขยายศูนย์ทันตกรรมไปตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อรองรับการให้บริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจได้อีกในอนาคต” นายสมภพกล่าว
ด้านนายวิชาโตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในฐานะผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บริษัทแอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) ว่าการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนใน 10 จังหวัดทั่วประเทศเพื่อให้นักลงทุนรู้จักการประกอบธุรกิจของ LDC ประกอบนำเสนอวิสัยทัศน์การบริหาร ศักยภาพการเติบโตและแผนการดำเนินงาน
“ธุรกิจของ LDC จัดได้ว่าเป็นการให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทางด้านทันตกรรม ซึ่งขณะนี้ไม่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยที่ประกอบธุรกิจลักษณะนี้โดยเฉพาะ ซึ่งถือว่า LDC เป็นบริษัทที่น่าสนใจอย่างมาก การโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนในครั้งนี้ทั้ง 10 จังหวัด ทำให้นักลงทุนรู้จัก และเข้าใจลักษณะการดำเนินธุรกิจของ LDC มากยิ่งขึ้น ว่ามีความแตกต่างกับคลีนิคทันตกรรมทั่วไปอย่างไร การขยายตัวและทิศทางการเติบโตของธุรกิจที่มีอนาคตสาเหตุจากผู้ที่ต้องการเข้าถึงบริการทันตกรรมเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งรับรู้วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร แผนการดำเนินงาน และศักยภาพการเติบโตเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน” นายวิชากล่าวในที่สุด