กรุงเทพฯ--28 ก.ค.--IR network
บล.ทิสโก้ ปรับราคาเป้าหมาย บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เพิ่มเป็น 1.60 บาท/หุ้น จากเดิม 1.10 บาท/หุ้น แนะนำ”ซื้อ” คาดผลประกอบการไตรมาส 2/57 ออกมาโดดเด่น! กวาดรายได้ 310 ล้านบาท ดันกำไรปกติแตะ 53 ล้านบาท ไม่รวมกำไรพิเศษจากการขาย บริษัทเอนโม 33.8 ล้านบาท มองภาพรวมปี”57 กำไรสุทธิ 244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 823% อนาคตสดใส ธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์โตต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของธุรกิจโรงพยาบาล
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมาย บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) (EFORL) เป็น 1.60 บาท จากเดือน มิถุนายน ที่ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.10 บาท โดยคงคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากการปรับประเมินมูลค่าไปยังปี 2558 เนื่องจากบริษัทได้มีการต่อยอดธุรกิจสร้างฐานการเติบโต ในการปรับเปลี่ยนธุรกิจและได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจสุขภาพและความงาม ถือว่าเป็นมุมมองเชิงบวกที่ดีแก่บริษัท ซึ่งธุรกิจของบริษัทยังสอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่ยังดีขึ้นและเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 2/2557 จะอยู่ที่ 53 ล้านบาท โดยยังไม่รวมรายการพิเศษจากการธุรกิจสื่อ หรือบริษัทเอนโม ที่มีกำไร 33.8 ล้านบาท สำหรับรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 310 ล้านบาท โดยคาดผลประกอบการครึ่งปีแรกจะคิดเป็น 41% ของประมาณการทั้งปี โดยมองว่าครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดี คาดการกำไรปี 2557 ทั้งปีที่ 244 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 823%
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทได้ปรับลดพาร์จาก 0.10 บาท เป็น 0.075 บาทต่อหุ้น เพื่อล้างขาดทุนสะสม ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อจำนวนหุ้นและราคาหุ้นแต่อย่างใด แต่จากการปรับลดราคาดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทสามารถพลิกกำไรกลับมาเป็นกำไรสะสม ซึ่งจะส่งผลในแง่การจ่ายเงินปันผล โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลปีนี้ได้ที่ 0.011 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 1.5% ตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
สำหรับไตรมาส 1/2557 EFORL มีกำไรที่ 46 ล้านบาท นับว่าเป็นการฟื้นตัวที่โดดเด่น โดยเรามองว่าบริษัทจะสามารถทำยอดและรับรู้รายได้ดีขึ้นจากการเติบโตของการนำเข้าเครื่องมือแพทย์สาเหตุที่ธุรกิจทางการแพทย์เติบโตนั้นมาจาก การขยายตัวของโรงพยาบาลเนื่องจากจำนวนผู่ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในมีการเติบโต 9% และ 8% ต่อปีตามลำดับ และยังมีปัจจัยบวกจากค่าใช้จ่ายสุขภาพที่มากขึ้น โดยเราจะเห็นได้ว่าอัตราเติบโตของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ 9% ต่อปีมากกว่าอัตราเติบโตของ GDP ที่ 6.4% ในปี 2555 และจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับการที่รัฐบาลได้มีการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย (Medical Hub of Asia)
นอกจากนี้ สัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2558 จะมีผู้สูงอายุที่สัดส่วน 14% ของประชากรทั้งหมด และคาดจะโตเป็น 25% ของประชากรทั้งหมดในปี 2578 อีกทั้งการขยายไลน์สินค้าเข้าสู่กลุ่มเวชศาสตร์การกีฬา ซึ่งบริษัทมองว่ากลุ่มนี้จะมีการเติบโตและปัจจุบันได้จำหน่ายเครื่องมือเหล่านี้ให้แก่ทีมชาติไทยด้วย และยังได้ประโยชน์จากการใช้งบประมาณในไตรมาส 3/57 โดยภาครัฐมีการเร่งใช้งบประมาณในช่วงนี้และสั่งซื้อเครื่องมือแพทย์มากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของโรงพยาบาลของภาคเอกชน โดยลูกค้าของบริษัท 60% เป็นภาครัฐและ 40% เป็นภาคเอกชน