กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
บล.ทรีนีตี้ คาดดัชนีหุ้นไทยเดือนสิงหาคม ผันผวนสูงลักษณะแบบ W shape แนะลดน้ำหนักการลงทุนเหลือ 80% รอจังหวะปรับฐานซื้อสะสมหุ้นใหม่ ชี้ดัชนีมีโอกาสดีดขึ้นช่วงปลายเดือน จากการครบกำหนดอายุของพันธบัตรออมทรัพย์มูลค่า 43,000 ล้านบาท เคาะหุ้นเด่น กลุ่มหุ้นถ่านหิน-กลุ่มหุ้นเงินปันผลสูง- กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกที่ต่ำกว่าบุ๊ค- กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ราคายังคง Laggard
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยกลยุทธ์การวิเคราะห์ของผลิตภัณฑ์ "The Big Picture" ว่า แนวโน้มดัชนี SET Index คาดจะเคลื่อนไหวในลักษณะ W shape โดยมองว่าในช่วงแรกอาจมีการปรับฐานเกิดขึ้นจากปัจจัยสภาพคล่องในประเทศและต่างประเทศที่ลดลง และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนเหลือ 80% จากปกติ 100% อย่างไรก็ดีมองว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานถือเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมหุ้นใหม่ เนื่องจากคาดการณ์การปรับขึ้นของดัชนีอีกครั้งในช่วงปลายเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายจากปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศเป็นหลัก
ได้แก่ ปัจจัยสนับสนุนจากการครบกำหนดอายุของพันธบัตรออมทรัพย์มูลค่า 43,000 ล้านบาทในวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ประกอบกับมีข่าวดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเบื้องต้น (Flash PMI) ภาคการผลิตปรับตัวสู่ระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน รวมถึงการจัดงาน Thailand focus ในวันที่ 27-28 สิงหาคม ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะรุ่นระยะสั้น มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหากตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาด และอาจทำให้นักลงทุนมีการปิดสถานะเพื่อเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย (Carry Trade) และนำเงินกลับออกไป ขณะที่มูลค่า ( Valuation) ของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง SET Index ที่อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนที่ธนาคารกลางของสหรัฐ (Fed) จะเริ่มลดวงเงินตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความเสี่ยงในการถูกขายทำกำไร
สำหรับหุ้นที่แนะนำหรับเดือนสิงหาคม ได้แก่ กลุ่มหุ้นถ่านหินที่ได้อานิสงส์จากการที่จีนหันมาใช้พลังงานจากถ่านหินมากขึ้น ได้แก่ BANPU, EARTH, กลุ่มหุ้นเงินปันผลสูง ได้แก่ ASP, TICON, กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกที่ยังคงมีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (PBV) ได้แก่ CKP, IFEC, กลุ่มอุปโภคบริโภคภายในที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ BJC และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ราคายังคง Laggard กว่ากลุ่ม ได้แก่ TPIPL
นายณัฐชาต กล่าวว่า หุ้นที่แนะนำใน The Big Picture ยังสามารถสร้างผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากคิดวิเคราะห์ภาพรวมการลงทุนรอบด้าน 360 องศา และการวางระยะเวลาลงทุนที่เหมาะสม 1-3 เดือน โดยผลตอบแทนของหุ้นที่แนะนำในเดือนกรกฎาคม ให้ผลตอบแทน 7.1% ในขณะที่ดัชนี SET Index ให้ผลตอบแทน 1.1% และผลตอบแทนรวมของ The Big Picture ให้ผลตอบแทนทั้งหมด 639% ในระยะเวลา 49 เดือนของการจัดตั้ง เทียบกับดัชนี SET index ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 88%