CRANE ฤกษ์ดีย้ายบ้านใหม่เข้าเทรด SET วันที่ 7 ส.ค.นี้ สะท้อนพื้นฐานแกร่ง-มั่นใจเนื้อหอมจากนี้นลท.รุมจีบ-คาดปี 58 โตก้าวกระโดด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 6, 2014 11:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--IR network บมจ.ชูไก (CRANE) ย้ายบ้านใหม่จากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าเทรด SET ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ SET กำหนด มั่นใจว่าจะสามารถสร้างแรงดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก ดันสภาพคล่องทางด้านการลงทุนสูงขึ้น ด้านผู้บริหาร “ชำนาญ งามพจนวงศ์” มั่นใจตลาดรถเครนโตต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองไร้เสถียรภาพในช่วงที่ผ่านมา พลิกกลยุทธ์รับมือโดยขยายตลาดธุรกิจให้เช่าเครื่องจักรกลหนัก ดันภาพรวมปีนี้รายได้อยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท คาดปี’58 ตลาดกลับมาคึกคัก หลังคสช.เดินหน้าลงทุนเมกะโปรเจกต์ ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฟื้น ลูกค้าเดินหน้าลงทุน คาดดันรายได้โตก้าวกระโดด นายชำนาญ งามพจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) (CRANE) เปิดเผยว่า บริษัทได้ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ผ่านหลักเกณฑ์เรื่องผลประกอบการ การเปิดเผยข้อมูล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าหลังจากย้ายเข้าไปเทรดใน SET จะได้รับการตอบรับจากทั้งนักลงทุนทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น และช่วยลดข้อจำกัดการเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาหุ้น และแผนการดำเนินธุรกิจหรือการระดมทุน เพื่อขยายธุรกิจในอนาคต “การย้ายเข้าจดทะเบียนและซื้อขายใน SET จะส่งผลต่อภาพลักษณ์เชิงบวกยิ่งขึ้น เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai มาสู่ SET ได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนในหลายๆ ด้าน จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนกลุ่มสถาบันให้เข้ามาลงทุนในหุ้น CRANE เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยสนับสนุนให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย ที่สำคัญตอนนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทของเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ซึ่งผ่านการทดสอบมาแล้วกว่า 5 ปี ผมถือว่าเราเป็นบริษัทมหาชนเต็มรูปแบบ และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี” เขากล่าวต่อถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า แม้ที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ แต่บริษัทได้ปรับตัวด้วยการทำตลาดธุรกิจให้บริการเช่าเครื่องจักรกลหนักมากขึ้น เพื่อทดแทนยอดขายรถเครนที่ลดลงเนื่องจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันเริ่มคลี่คลายและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้แล้ว และสิ้นปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท แต่ในส่วนของกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนให้ลดลง ซึ่งทำให้กำไรเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของ CRANE มาจาก 2 ส่วนสำคัญคือรายได้จากการขายเครื่องจักรกลหนักร้อยละ 50 และรายได้จากการให้บริการเช่าเครื่องจักรกลหนักร้อยละ 50 และปัจจุบัน CRANE มีรถเครนให้เช่าจำนวนมากรวมถึงขนาดใหญ่สุดที่ 1,250 ตัน ซึ่งมีอยู่เพียงคันเดียวในเอเซีย ดังนั้นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นลักษณะงานโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะงานโครงการจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหนัก เช่นกลุ่มอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้า “จุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าเช่ารถเครนกับเราเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีการให้บริการคำปรึกษาและดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างมาก และที่สำคัญความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ทำงานตามหลักมาตรฐานสากลเรื่องความปลอดภัยจึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่วางใจเลือกใช้บริการรถเครนของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมองว่าแนวโน้มตลาดรถเครนยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะผู้เล่นในตลาดที่มีศักยภาพเท่าเทียมกับบริษัทมีจำกัด และเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้า ทำให้รายใหม่เข้ามาในตลาดได้ยาก” นายชำนาญ กล่าวต่อในช่วงท้ายถึงแนวโน้มรายได้ในปี 2558 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะทรงตัว เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเริ่มฟื้นตัว หลังจากที่สถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลาย รัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) และที่สำคัญรถเครนขนาด 1,250 ตันจะเริ่มรับออเดอร์งานโครงการจากลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้แนวโน้มรายได้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ปี 2553-ไตรมาส 1 ปี 2557 บริษัทมีรายได้รวม 625.22 ล้านบาท 960.78 ล้านบาท 1,318.95 ล้านบาท 1,428.18 ล้านบาท และ 432.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ 57.84 ล้านบาท 98.72 ล้านบาท 191.72 ล้านบาท 72.59 ล้านบาท และ 157.13 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ