กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
- ผลการดำเนินการโดดเด่นจากผลิตภัณฑ์หลักของทั้งกลุ่มธุรกิจ
- มีการขยายการเติบโตจากผลประกอบการของธุรกิจหลักและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
- กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อมเพิ่มขึ้น 73 เปอร์เซนต์ ในครึ่งปีแรก
- กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.33 บาท เพิ่มขึ้น 329 เปอร์เซนต์ ในไตรมาสสอง
บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 324 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2556 ขณะที่กำไรสุทธิของหกเดือนแรกอยู่ที่ 2,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกำไรสุทธิสูงขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของกำไรขั้นต้นจาก 11.7 เปอร์เซนต์ในครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ไปที่ 15.5 เปอร์เซนต์ของปีนี้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกำไรขั้นต้นของธุรกิจปลาทูน่า กุ้งแช่แข็ง และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
ทียูเอฟ มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของทั้งกลุ่มธุรกิจในไตรมาสที่สองของปี 2557 โดยมียอดขายที่ 30,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.6 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับยอดขาย 28,119 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันในปี 2556 ยอดขายของทั้งกลุ่มธุรกิจในหกเดือนแรกของปีอยู่ที่ 58,207 ล้านบาท เติบโต 10.7 เปอร์เซนต์เมื่อกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว หากพิจารณายอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 2.1 เปอร์เซนต์
รายได้ที่สูงขึ้นในไตรมาสที่สองนี้เป็นผลมาจากหลายปัจจัยหลัก ได้แก่ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ธุรกิจปลาทูน่าในตลาดต่างประเทศซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 18.9 เปอร์เซนต์ ในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ธุรกิจกุ้งที่ยังเติบโตได้ดีถึงแม้ต้องเผชิญปัญหากุ้งขาดแคลนในตลาดโลกเนื่องจากการระบาดโรคอีเอ็มเอส (EMS) รวมไปถึงการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกด้วย
นอกเหนือไปจากปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตต่างๆ ดังกล่าวมา ปัจจัยค่าเงินบาทอ่อนตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน มีส่วนช่วยให้กำไรขั้นต้นขยายตัวและส่งผลให้กำไรสุทธิสูงขึ้นในที่สุด
ภาพรวมสัดส่วนรายได้ของกลุ่มทียูเอฟ แบ่งตามผลิตภัณฑ์หลัก 6 กลุ่มธุรกิจในช่วงหกเดือนแรกของปี ยังมีการเติบโตที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยกลุ่มธุรกิจปลาทูน่ามีสัดส่วนรายได้เท่ากับ 49 เปอร์เซนต์ กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง 23 เปอร์เซนต์ กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 7 เปอร์เซนต์ กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 6 เปอร์เซนต์ กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 4 เปอร์เซนต์ และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ 11เปอร์เซนต์
รายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีเงินได้และค่าเสื่อมในครึ่งปีแรกของปี 2557 นี้ เพิ่มขึ้น 73 เปอร์เซนต์ จาก 3,194 ล้านบาทไปที่ 5,538 ล้านบาท ในขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.15 บาท เพิ่มขึ้น 139 เปอร์เซนต์ เปรียบเทียบกับกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.90 บาท ในช่วงเดียวกันของปีทีผ่านมา สำหรับกำไรต่อหุ้นในไตรมาสสองอยู่ที่ 1.33 บาท เพิ่มขึ้น 329 เปอร์เซนต์ เปรียบเทียบกับกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.31 บาท ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่สัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจทียูเอฟ โดยแบ่งตามตลาดมีดังนี้ สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 41 เปอร์เซนต์ ยุโรป 33 เปอร์เซนต์ ญี่ปุ่น 7 เปอร์เซนต์ ตลาดในประเทศ 7 เปอร์เซนต์ แอฟริกา 3 เปอร์เซนต์ ออสเตรเลีย 3 เปอร์เซนต์ เอเชียไม่รวมญี่ปุ่น 3 เปอร์เซนต์ ตะวันออกกลาง 2 เปอร์เซนต์ แคนาดา 1 เปอร์เซนต์ และอเมริกาใต้ 1 เปอร์เซนต์ ยอดขายของทียูเอฟ ในตลาดสหรัฐอเมริกามีการเติบโตสูงที่สุดมากกว่า 20 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามด้วยยอดขายในยุโรปเติบโตมากกว่า 17 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่สูงขึ้นของธุรกิจค้ากุ้งแช่แข็งในสหรัฐอเมริกาและผลการดำเนินงานอันยอดเยี่ยมของหน่วยธุรกิจยุโรปตามลำดับ
กลยุทธ์การเติบโตของกลุ่มสำหรับธุรกิจที่เป็นแบรนด์โดยการขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ดำเนินการไปแล้วที่ตลาดอเมริกาใต้ แคนาดา และแอฟริกา ธุรกิจสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จมากในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีส่วนแบ่งรายใด้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 41 เปอร์เซนต์ เป็น 43 เปอร์เซนต์ในปีนี้
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ ผู้นำและเชี่ยวชาญด้านอาหารทะเล และผู้ผลิตทูน่าบรรจุกระป๋องอันดับหนึ่งของโลก กล่าวว่า “ผมมีความพอใจเป็นอย่างยิ่งกับผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองนี้”
“ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการผลิตและศักยภาพของกลุ่มบริษัทของเราในการสรรหาวัตถุดิบ ยังคงมีบทบาทสำคัญและถือเป็นจุดแข็งต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของเรา ผมเชื่อในการสร้างพื้นฐานธุรกิจให้แข็งแกร่งเพื่อรองรับความสำเร็จอย่างยั่งยืนและการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ท่ามกลางสภาวะอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้น เราต้องใช้ความพยายามอย่างสูงที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใว้ ทั้งการปฏิบัติตัวเป็นบรรษัทพลเมืองดีรวมถึงการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจและผลิตภัณฑ์ เราจึงได้เห็นการฟื้นตัวอย่างเป็นที่น่าพอใจทั้งในเชิงธุรกิจและความยั่งยืนในเชิงปฏิบัติการในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างบทบาทมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่ประชากร ชุมชน และสังคมของเราต่อไป” นายธีรพงศ์กล่าวสรุป
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ในอัตราหุ้นละ 1.2 บาท โดยวันที่ซื้อหุ้นไม่ได้รับเงินปันผลคือวันที่ 25 สิงหาคม 2557 ทั้งนี้บริษัทฯกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายนนี้