กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--Aziam Burson-Marsteller
ในโอกาสการเปิดตัวภาพยนตร์สารคดีสามมิติ เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ดีพซี ชาเลนจ์ นำเสนอภารกิจการผจญภัยเข้าสำรวจ
จุดที่ลึกที่สุดในห้วงมหาสมุทร โดยนักสำรวจและผู้สร้างภาพยนต์ชื่อดัง เจมส์ คาเมรอน จากภาพยนตร์เรื่องไททานิคและอวตาร โรเล็กซ์ได้เผยโฉมนาฬิกา Rolex Deepsea นาฬิกาข้อมือสำหรับนักดำน้ำรุ่น
ใหม่ล่าสุด ทนทานต่อ
ความกดอากาศสูง หน้าปัดสี D-blue ที่สื่อถึงสีสันของท้องทะเลลึก ทั้งนี้หน้าปัดสีดังกล่าวเปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของห้วงลึกที่สุดของโลกใต้มหาสมุทรที่แสง
ไม่สามารถส่องไปได้ ผ่านเรื่องราวการผจญภัยในภารกิจ ดีพซี ชาเลนจ์ของเจมส์ คาเมรอน (James Cameron's Deepsea Challenge) และเพื่อเป็นการร่วมฉลองระหว่างโรเล็กซ์และคาเมรอน สัญลักษณ์ DEEPSEA ที่ประทับบนหน้าปัดจึงเป็นสีเขียวซึ่งพัฒนามาจากสีที่สามารถมองเห็นได้เวลาดำลงไปในน้ำทะเล
Rolex Deepsea ใหม่ เปิดตัวเมื่อวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ มหานคร นิวยอร์ก ในงานฉายภาพยนตร์สารคดีรอบปฐมทัศน์ที่ห้องนิทรรศการสิ่งมีชีวิต
ใต้สมุทรของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน โดยมีเจมส์ คาเมรอน และบุคคลสำคัญในวงการการสำรวจโลกใต้สมุทรและวงการภาพยนตร์เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ภาพยนตร์สารคดีสามมิติดีพซี ชาเลนจ์ ทรีดี (James Cameron's Deepsea Challenge) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการดำดิ่ง เพื่อสำรวจโลกใต้น้ำ
ครั้งประวัติศาสตร์ของเจมส์ คาเมรอน ที่บริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา โดยได้รับความสนับสนุนจากโรเล็กซ์และเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกในการปฏิบัติภารกิจ ครั้งประวัติศาสตร์นี้
การสำรวจพรมแดนปริศนาสุดท้ายของโลก
เจมส์ คาเมรอน ผู้สร้างภาพยนตร์และ นักสำรวจได้ทำลายสถิติการดำเดี่ยวที่ความลึกถึง 10,908 เมตร (35,787 ฟุต) ในมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อทำการสำรวจ โดยเดินทางไปกับยานสำรวจใต้น้ำ ดีพซี ชาเลนเจอร์ เจมส์ใช้เวลาสำรวจพื้นน้ำนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยได้นำตัวอย่างที่พบและถ่ายภาพความละเอียดสูงภาพแรกของพรมแดนสุดท้ายนี้กลับมา นักวิทยาศาสตร์ประเมินไว้ว่ากว่า 95% ของมหาสมุทรนั้นยังไม่มีใครไปสำรวจและยังคงเป็นปริศนาให้มนุษย์ต้องค้นหาคำตอบต่อไป ตัวอย่างที่พบจากการเดินทางสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ อย่างน้อย 68 สายพันธุ์ ภาพยนตร์สารคดีนี้จะพาผู้ชมตื่นเต้นไปกับการผจญภัยของดีพซี ชาเลนจ์ ในมหาสมุทรแปซิฟิกทั้ง 13 ครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่สุดของเครื่องบอกเวลานักดำน้ำ
ดีพซี ชาเลนจ์ เป็นภารกิจที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นการเปิดประตูไปสู่ยุคใหม่ของการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ของโลกใต้น้ำที่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา นับตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2503 ซึ่งเป็นวันที่ยานสำรวจใต้น้ำ ทรีเอสต์ ที่บังคับโดยมนุษย์ลำแรกลงไปสัมผัสก้นมหาสมุทร เมื่อใดก็ตามที่มนุษยชาติมีการค้นพบพรมแดนใหม่ ๆ บนโลกนี้ โรเล็กซ์จะเป็นส่วนหนึ่งของการค้นพบนั้น
นาฬิกาโรเล็กซ์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติภารกิจของยานสำรวจทรีเอสต์ และการสำรวจใต้น้ำดีพซี ชาเลนจ์ โดยระหว่างการสำรวจทางน้ำครั้งประวัติศาสตร์ทั้งสองครั้ง โรเล็กซ์เรือนทดสอบจะถูกนำไปติดกับตัวยานสำรวจใต้น้ำ ซึ่งต้องเผชิญกับแรงดันมหาศาลที่มากที่สุดในโลก ณ ระดับความลึกถึง 11 กิโลเมตร (7 ไมล์) จากผิวน้ำ นาฬิกาทั้งสองเรือนยังคงทำงานได้สมบูรณ์แบบแสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดของนาฬิกาโรเล็กซ์
ในการเป็นผู้นำด้านนาฬิกากันน้ำในพ.ศ. 2469 โรเล็กซ์ได้ทดสอบประสิทธิภาพในการกันน้ำของรุ่น Oyster ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือกันน้ำรุ่นแรกของโลก และจากนั้นก็มีการสร้างสรรค์นาฬิกากันน้ำประสิทธิภาพสูง
รุ่นใหม่ ๆ ตามมา ได้แก่ รุ่น Oyster Perpetual Submariner (พ.ศ. 2496) รุ่น Sea-Dweller (พ.ศ. 2510) และรุ่น Rolex Deepsea (พ.ศ. 2551)
โรเล็กซ์และความลึก
Rolex Deepsea นาฬิกาข้อมือรุ่นใหม่สำหรับนักดำน้ำ สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 3,900 เมตร (12,800 ฟุต) ตัวเรือนกันน้ำแบบ Oyster ขนาด 44 มม. เสริมความแข็งแกร่งด้วยการประกอบตัวเรือนแบบ Ringlock System ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทุกข้อเรียกร้องของนักดำน้ำมืออาชีพโดยได้สร้างมาตรฐานใหม่ของความทนทานความแม่นยำ ประสิทธิภาพในการใช้งานและความน่าเชื่อถือ
“Rolex Deepsea Challenge สามารถมองเห็นได้ ชัดบนแขนกลของยานสำรวจและยังทำงานได้อย่าง เที่ยงตรงแม่นยำ ณ ก้นบึ้งของภารกิจของยาน ชาเลนเจอร์”
เจมส์ คาเมรอน
เจมส์ คาเมรอนสวมนาฬิกา Rolex Deepsea ในระหว่างการสำรวจโลกใต้ทะเลที่ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ซึ่งต่อมาได้นับเป็นรุ่นต้นแบบให้กับ Rolex Deepsea Challenge ที่สามารถกันน้ำได้ถึง 12,000 เมตร (39,370 ฟุต) และได้รับการทดสอบในสภาพการใช้งานจริงระหว่างการสำรวจโลกใต้ทะเลของคาเมรอน นาฬิการุ่นนี้ได้รับการทดสอบโดยการติดตั้งที่แขนกลของยานสำรวจ
ผลักดันขีดจำกัด
สาเหตุที่ Rolex Deepsea ใหม่ มาพร้อมกับหน้าปัดสี D-blue ไม่ได้เป็นเพียงแค่การฉลองการร่วมงานกันในภารกิจการสำรวจครั้งประวัติศาสตร์ของเจมส์ คาเมรอนเท่านั้น แต่ยังคงหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะออกสำรวจ คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีความมุ่งมั่นด้วยเจตนารมณ์ที่แรงกล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์ให้จงได้