กรุงเทพฯ--28 ส.ค.--พีอาร์ดีดี
น.ส.พิณแก้ว ทรายแก้ว ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ของบริษัทในขณะนี้ว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมามีลูกค้าสถาบันได้ให้ความมั่นใจเข้ามาเป็นลูกค้ากองทุนประเภทดังกล่าวมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมีมูลค่าสินทรัพย์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภายใต้การบริหารงานเป็นจำนวนเงินประมาณ 105,226 ล้านบาท (ณ 31 ก.ค. 57) เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2556 ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ฯจำนวน 84,461 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 20,765 ล้านบาท หรือประมาณ 25% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่โตเพียง 8% โดยมีจำนวนสมาชิกประมาณ 438,800 ราย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มาจากรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันถือเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรม คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 13.03%
ปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์มีการออกกองทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อีกทั้งยังพร้อมปรับปรุงพัฒนา ด้านระบบและการบริการให้สามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เช่น การโอนย้ายระบบนายทะเบียนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาบริหารเอง และยังใช้กลยุทธ์สนับสนุนให้ลูกค้าภาคธุรกิจมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อเป็นสวัสดิการยามเกษียณให้กับพนักงาน เน้นการให้ความรู้ด้านการจัดสรรสัดส่วนการลงทุน การให้บริการความสะดวก การเข้าถึงข้อมูลของสมาชิก รวมทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และ การลงทุนได้อย่างครบวงจรในลักษณะ Total Package ด้วยความร่วมมือกับกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อนำเสนอทางเลือกทางด้านการเงินและการลงทุนให้กับลูกค้าได้ครอบคลุมทุกด้าน
อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้ารายย่อยที่ยังไม่มีกองทุน ก็สามารถเลือกลงทุน ผ่านผลิตภัณฑ์กองทุนเพื่อรองรับการเกษียณอายุ คือ SCB Retirement Fund ที่มีให้เลือกครบตามอายุ ที่จะเกษียณได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พัฒนา SCBAM iRetire Application เป็นรายแรกในธุรกิจจัดการลงทุน ที่ช่วยวางแผนอนาคตทางการเงินสำหรับนักลงทุนให้บรรลุวัตถุประสงค์ ในการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุด้วย
นอกจากนักลงทุนสถาบันให้ความไว้วางใจในการให้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กองทุนส่วนบุคคล บลจ.ไทยพาณิชย์ประสบความสำเร็จในการขยายฐานไปสู่นักลงทุนสถาบันมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ครองอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผลมาจากการวางเป้าหมายในการทำงานเชิงรุกที่บริษัทฯต้องการขยายฐานลูกค้าสถาบันควบคู่กับรายย่อยจึงมีการปรับเปลี่ยนระบบงานภายในให้มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับที่ผ่านมาบริษัทฯสามารถให้คำปรึกษาด้านการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างชัดเจนรวมทั้งการให้ความสำคัญในด้านการบริการลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย อีกทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีเป็นที่พอใจให้แก่ลูกค้า เมื่อประกอบกับการนำ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เข้ามาจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Highest Standard (tha) ช่วยทำให้บริษัทฯสามารถปรับปรุงระบบการทำงานที่นักลงทุนระดับโลกให้การยอมรับ และเมื่อบริษัทฯได้รับจัดอันดับเรทติ้งสูงสุดถึง 4 ปีซ้อน ยิ่งสะท้อนถึงการที่บริษัทมีชื่อเสียงที่ดี ทำให้นักลงทุนสถาบันเกิดความมั่นใจและเข้ามาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเอกชน รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย ฯลฯ
“ผลการดำเนินงานที่ดีอย่างเดียวยังไม่เพียงพอสำหรับลูกค้าสถาบัน ยังต้องมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสามารถตอบโจทย์การลงทุนที่มีความซับซ้อนและให้ผลตอบแทน สูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการด้านการลงทุนของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างครบทุกความต้องการ
ในทุกช่วงเวลาด้วย นอกจากนี้เรายังมีการเพิ่มจำนวนทีมงานมืออาชีพด้านการวิเคราะห์ การบริหารจัดการความเสี่ยงทางการลงทุนและการวางกลยุทธ์การลงทุน รวมทั้งสร้างระบบงานภายในให้มีความพร้อมสามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันและทำงานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว จึงทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น” น.ส.พิณแก้ว กล่าว