กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--เพนนินซูลาร์ แอสโซซิเอทส์
ผู้ประกอบการ SMEs ร่วมกับภาครัฐและเอกชนระดมพลัง “พันธมิตรทางธุรกิจ” The Power of Partnership จัดงาน SME Thailand Expo 2014ในระหว่างวันที่ 25-28 กันยายน 2557 ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7-8 สร้างโอกาสความแข็งแกร่งให้กับ SMEs โดย สสว.หวังเชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและพัฒนา SMEs ภายใต้วงเงิน 726 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่ม GDP SMEs เป็น 38% และนิติบุคคลจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 50,000 รายในปี 2558
นายวีระยุทธ เชื้อไทย รองผู้อำนวยการสำนักบริการผู้ประกอบการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า ภาพรวมปัจจุบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 2.76 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 97.2 ของวิสาหกิจทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวน 11.4 คิดเป็นร้อยละ 81.0 สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP ของ SMEs) กว่า 4.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.4 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 (ม.ค.-มิ.ย.) SMEs มีการส่งออกสินค้า มูลค่ารวม 980,419.86 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 14.77 ขณะที่การนำเข้าสินค้าของ SMEs มีมูลค่ารวม 1,074,005.84 ล้านบาท หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 13.2จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า SMEs มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ได้ยกระดับให้การส่งเสริม SMEs เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งขยายขอบเขตการส่งเสริมเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ภาคการผลิต ภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการเกษตร ทั้งนี้ แผนงานและยุทธศาสตร์ดังกล่าว นอกจากจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพ SMEs ไทย ให้เติบโต เข้มแข็ง สามารถก้าวสู่เวทีการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไป
ด้าน นายกิตติพัฒน์ ปณิฐาภรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาผู้ประกอบการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ให้การสนับสนุนในเรื่องของการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในกลุ่มผู้ประกอบการ SME มาโดยตลอด ผ่านหลายๆ โครงการที่จัดทำขึ้น เพราะเล็งเห็นว่า ปัจจุบันหมดยุคที่ผู้ประกอบการหรือเถ้าแก่จะทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด จำเป็นที่จะต้องมีพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อช่วยส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และยังเป็นการสร้างโอกาสและเพิ่มอำนาจการต่อรองในเชิงธุรกิจได้อีกด้วย เช่น การซื้อวัตถุดิบร่วมกัน เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ถูกลง หรือเมื่อมียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก แทนที่จะต้องลงทุนขยายโรงงานหรือซื้อเครื่องจักรเพิ่ม ก็สามารถที่จะกระจายออเดอร์ไปให้พันธมิตรช่วยในการผลิต หรือแม้แต่ร่วมกันเพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ในขณะที่ นายสุรศักดิ์ สำเนียงงาม Senior Supervisor บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทางเอปสันเองก็มุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องพันธมิตรทางธุรกิจด้วยเช่นกัน เพราะตระหนักดีว่า การดำเนินธุรกิจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพาร์ตเนอร์หรือคู่ค้าที่ดี เพื่อต่อยอดโอกาสและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ อย่างเอปสันเองก็มีความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเอปสันเป็นผู้ผลิตพริ้นเตอร์และเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ ซึ่งใช้วิธีการจำหน่ายผ่านดิลเลอร์ต่างๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างเอปสันและพาร์ตเนอร์นั้นก็คือ การพยายามสร้างโอกาสให้พาร์ตเนอร์สามารถเติบโตไปด้วยกันให้ได้
“ระหว่างเรากับพาร์ตเนอร์จะต้องมีการวางแผนการตลาดร่วมกัน สิ่งที่เรามีคือองค์ความรู้และเทรนด์ของตลาด ก็จะถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ให้กับพาร์ตเนอร์ ชี้ให้เขาเห็นว่ามันมีโอกาสอยู่ตรงนี้นะ เป็นเหมือนการจุดประกายให้กับเขา ไม่ใช่แค่ว่าเข้าไปหาเขาแล้วบอกว่าต้องการยอดขายเท่านี้เท่านั้น แต่เราต้องการให้พาร์ตเนอร์ทุกคนเติบโตไปพร้อมๆ กับเรา เพราะทุกวันนี้ผมมองว่า การทำธุรกิจด้วยตัวเองทั้งหมด อาจจะเป็นการใช้ทรัพยากรที่มากเกินไป แทนที่จะทำคนเดียว เปลี่ยนมาร่วมมือช่วยกันทำ ก็เท่ากับเป็นการแบ่งต้นทุนซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นการขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย ยิ่งเรามีพันธมิตรที่หลากหลาย หรืออยู่ในกลุ่มที่ธุรกิจสามารถต่อยอดไปได้ นั่นหมายถึงโอกาสที่ธุรกิจของเราจะขยายก็มีเพิ่มขึ้นนั่นเอง“
นายวินัย วิโรจน์จริยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพนนินซูลาร์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะต่อสู้ตามลำพังในขณะที่เทคโนโลยีทำให้โลกของการค้านั้นไร้พรมแดน การสร้าง “พันธมิตรทางธุรกิจ” ด้วยการดึงเอาจุดแข็งของแต่ละธุรกิจมารวมกัน ย่อมจะทำให้ปิดจุดอ่อนของตนเองได้ โดยเฉพาะ SME ที่มีขนาดเล็ก เงินลงทุนน้อย ไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเองได้ แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง จึงควรต้องมีพันธมิตรมาคอยเสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยสนับสนุน แลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญตลอดจนทรัพยากร เพื่อช่วยกันสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ในลักษณะ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกันที่ยั่งยืน
ดังนั้นบริษัทฯจึงได้จัดงาน SME Thailand Expo 2014 ในวันที่ 25-28 กันยายน 2557 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7-8 โดยภายในงานจัดให้องค์ความรู้ต่างจากเวทีสัมมนาเพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ และความรู้ให้กับผู้ประกอบการและผู้เข้าชมงาน ตลอดจนการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นเพื่อที่จะได้มุมมองธุรกิจที่หลากหลายจากผู้ร่วม กิจกรรม DIY อาทิ เย็บผ้าควิลท์ จาก Vanida Quilts และถักไหมพรมด้วยเครื่อง กับ PINN SHOP นอกจากนั้นหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำโครงการดีๆ สำหรับผู้ประกอบการ อีกทั้งยังมีในส่วนของการออกร้านของผู้ประกอบการมากมาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ทางด้านอาหาร สุขภาพ นวัตกรรม ดีไซน์ กรีนโปรดักส์ เป็นต้น ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.smethailandclub.com/expo2014”