กรุงเทพฯ--16 ก.ย.--IR network
บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เล็กๆไม่ใหญ่ๆทำ ประกาศข่าวดี!!! ปิดดีลซื้อหุ้น “วุฒิศักดิ์คลินิก” “ธีรวุทธ์ ปางวิรุฬห์รักข์”เผยบอร์ดไฟเขียวตั้งบริษัทย่อยเข้าถือหุ้น “วุฒิศักดิ์คลินิกอินเตอร์กรุ๊ป" ร่วมกับพันธมิตร มูลค่าลงทุนรวม 4.5 พันล้านบาท เตรียมนำวาระเข้าสู่การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 22 ต.ค.นี้ มั่นใจศักยภาพ “วุฒิศักดิ์ คลินิก” โดดเด่นมีสาขาครอบคลุม 120 สาขา แถมยังมีแฟรนไชส์ในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมผงาดรับเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดันรายได้ธุรกิจความงามโตควบคู่ธุรกิจหลักนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์
นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน)(EFORL) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัด (WCIG) ซึ่งประกอบธุรกิจให้คําปรึกษาและตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณและลดกระชบสัดส่วน ในสัดส่วนร้อยละ 100 ผ่านบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ด้วยมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้นประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยในสัดส่วนร้อยละ 60 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 40 จะเป็นการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายเดิม ได้แก่ นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ นายพลภัทร จันทร์วิเมลือง และนายวุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช โดยถือหุ้นบริษัทย่อยในสัดส่วนร้อยละ 25 และอีกร้อยละ 15 ถือหุ้นโดยกองทุนซึ่งจัดตั้งและบริหารโดย Solaris Asset Management Company Limited สำหรับบริษัทย่อยที่จะไปลงทุนซื้อ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัดนั้น จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วรวมส่วนเกินทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้นร้อยละ 60 ต้องใช้เงินลงทุนจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้บริษัทจะกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มทุน และ/หรือ ดำเนินการอื่นใดที่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น EFORL ในปัจจุบันเลย เนื่องจาก EFORL เป็นบริษัทที่ไม่มีภาระหนี้สิน และอยู่ในข่ายที่สถาบันการเงินให้การสนับสนุนได้ ดังนั้นจึงเป็นนวัตกรรมการซื้อขายกิจการรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยสำหรับตลาดทุนไทย ที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบ Dilution Effect ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และยังเป็นผลดีทำให้ EFORL ได้ธุรกิจเข้ามาเพิ่มเป็นการสร้างการเติบโต สร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ทั้งในด้านทรัพย์สินและรายได้ตลอดจนการรุกเข้าสู่ธุรกิจที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง โดยบริษัทย่อยจะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในสัดส่วน 100% จากผู้ถือหุ้นเดิมของ WCIG โดยจํานวนเงินที่ใช้สําหรับการเข้าซื้อหุ้น WCIG ทั้งหมด จํานวนรวม 153,395 หุ้น รวมเป็นเงิน ประมาณ 3,500 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทย่อยจะให้ WCIG กู้ยืมเงิน ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ WCIG นําไปจ่าย ชําระคืนหนี้เงินกู้ยืมทั้งหมดให้แก่ Wise Thai Company Limited ซึ่งทั้งหมดรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท สำหรับแหล่งที่มาของเงินทุนในการดำเนินการครั้งนี้ บริษัทย่อยจะใช้แหล่งเงินมาจากส่วนของทุนและจากการกู้ยืมเงิน โดยในส่วนของทุนบริษัทจะร่วมลงทุนกับผู้ร่วมลงทุนรายอื่น ด้วยเงินทุนชำระรวมส่วนเกินทุนจํานวน 2,500 ล้านบาทดังที่กล่าวในข้างต้น นอกจากนี้ บริษัทย่อยจะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศเป็นจํานวนเงินรวม 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทจะประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2557 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2557 เพื่อขออนุมัติดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ WCIG ประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทคลินิกเวชกรรมไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน โดยเน้นให้บริการคําปรึกษาและตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณและลดกระชับสัดส่วนภายใต้ชื่อ “วุฒิศักดิ์คลินิก” มีสาขารวม 120 สาขา ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการในลักษณะ Franchise ในประเทศ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนม่าร์ รวม 11 สาขา “การได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทในครั้งนี้จะช่วยให้ธุรกิจของ EFORL ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพและความงาม โดยธุรกิจหลักยังคงเป็นการนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ และขณะนี้ธุรกิจด้านความงามก็จะมาจาก That’so ซึ่งเป็นเครื่องสำอางค์และเครื่องมือที่มีนวัตกรรม จากอิตาลีที่ทำให้เกิดความสวยงามโดยปราศจากความเจ็บปวดที่แตกต่างจากการศัลยกรรม โดยธุรกิจนี้จะเติบโตควบคู่ไปกับการลงทุนใน WCIG ได้อย่างลงตัว และเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตไปยังภูมิอาเซียนได้ในอนาคต” นายธีรวุทธิ์ กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม กล่าวอีกว่า การเข้าลงทุนใน บริษัท วุฒิศักดิ์คลินิกอินเตอร์กรุ๊ป จํากัด (WCIG) บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและส่งเสริมกัน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปจนถึงผู้เข้ารับบริการเสริมความงาม ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทด้วยการประสานงาน และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้ง ยังเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในระยะยาว