กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--IR PLUS
JMT จับมือบริษัทย่อย บริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด ลุยซื้อหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จาก ธนชาต มูลค่ารวม 1,451 ลบ. หนุนผลงานบริษัทฯ เกือบ 9 เดือน สามารถซื้อหนี้เสียมาบริหารแล้วที่ 14,900 ล้านบาท เขยิบใกล้เป้าหมายทั้งปีที่วางไว้จะซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารอีก 20,000 ล้านบาท “ปิยะ พงษ์อัชฌา” ส่งซิก ต้องจับตาดู JMT อย่างใกล้ชิด หลังเห็นทิศทางผลงาน Q3/57 คาดว่าจะออกมาดีมาก แถมช่วงที่เหลือของปีนี้ ลุยซื้อหนี้เพิ่มแบบไม่มีหยุดหย่อน เชื่อ สร้างผลงานสุดประทับใจ ไม่ทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นผิดหวังอย่างแน่นอน
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ ประกอบธุรกิจให้บริการ ติดตาม เร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ กับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) มูลค่า 465 ล้านบาท และบริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JMT ได้ลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพ ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ กับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) มูลค่า 986 ล้านบาท รวมมูลค่าจากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพของบริษัทและบริษัทย่อยเข้ามาบริหารในครั้งนี้อยู่ที่ 1,451 ล้านบาท
“หนี้ที่เราซื้อในครั้งนี้มูลค่า 1,451 ล้านบาท เป็นหนี้เสียประเภทเช่าซื้อรถยนต์รายเก่าที่ถูกดันออกมาและหนี้เสียจากรถคันแรกซึ่งเป็นรายใหม่ผสมอยู่ด้วย โดยหนี้ที่ JMT ซื้อเข้ามาบริหาร เป็นหนี้เสียที่ยังไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมาย ส่วนหนี้ที่บริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด เข้าซื้อนั้น เป็นหนี้ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินการทางกฎหมายแล้ว และหนี้ประเภทดังกล่าวยังมีในระบบอยู่จำนวนมาก จึงเป็นโอกาสของ JMT และบริษัทย่อยในการเข้าไปรุกหนี้ประเภทนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง” นายปิยะ กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้และแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2557 คาดว่า JMT จะมี ทิศทางการเติบโตที่ดีมาก เนื่องจากบริษัทฯ รับรู้รายได้ในหนี้ก้อนโตก้อนแรก ที่ตัดต้นทุนเสร็จสิ้นตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 อีกทั้ง ภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ มีหนี้เสียในระบบเพิ่มขึ้น มีสถาบันการเงินและหน่วยงานต่างๆ ทยอยขายหนี้ออกมาจำนวนมาก บริษัทฯ จึงปรับเป้าหมายการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้จาก 13,000 ล้านบาท เป็น 20,000 ล้านบาท หรือมี
พอร์ตบริหารหนี้ในปี 2557 อยู่ที่ระดับ 50,000 ล้านบาท จากปี 2556 มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ สามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มแล้วที่ประมาณ 14,900 ล้านบาท จึงมั่นใจผลงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะสามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้าบริหารได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ นอกจากการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯ ยังสามารถจัดเก็บหนี้ได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 10% สนับสนุนให้บริษัทฯ มีรายได้จากการจัดเก็บหนี้เพิ่มขึ้น และสามารถตัดต้นทุนกองหนี้ได้มากกว่า 50% ของกองหนี้ที่ซื้อมาทั้งหมด ซึ่งมีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 60 กอง เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทฯ สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเสี่ยงลดลง นำมาซึ่งผลประกอบการเติบโตมั่นคงอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจเป้าหมายกำไรสุทธิปี 2557 ที่วางไว้จะเติบโตอีก 50% จากปี 2556 อยู่ที่ 75.08 ล้านบาท จะเป็นไปตามนั้น
“จากประสบการณ์การซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีรายชื่อลูกค้าที่ซื้อหนี้เข้ามาบริหารแล้วกว่า 1.5 ล้านรายชื่อ ซึ่งถือเป็นฐานข้อมูลจำนวนมาก และเป็น จุดแข็งของบริษัทฯ ให้มีความได้เปรียบในธุรกิจนี้ นอกจากนี้หนี้ที่เราซื้อมาเป็นสิทธิ์ของเรา ยังมีให้เก็บอีกจำนวนมาก ระยะเวลาอีกหลายสิบปีที่ยังต้องเก็บหนี้เหล่านี้ รวมทั้งบริษัทฯ ได้ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอีกเนื่องจากมีสถาบันการเงินและหน่วยงานต่างๆ ทั้งรายเก่า รายใหม่ ให้ความไว้วางใจ JMT เข้ามาเสนอขายหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ JMT ถือเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ และมั่นใจ ผลงานในช่วงต่อจากนี้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง” นายปิยะ กล่าว