กรุงเทพฯ--3 ต.ค.--กระทรวงวัฒนธรรม
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวในการประชุมกำหนดแนวทางการลดหย่อนภาษี เมื่อเร็วๆนี้ ว่ากระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการทบทวนมาตรการทางภาษี 2 ฉบับ คือ กฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ ๓๐๒ (พ.ศ.๒๕๕๖) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงิน เพื่อบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สามารถนำยอดเงินบริจาคดังกล่าวไปหักลดหย่อนภาษีได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่ยอดเงินที่ได้บริจาคดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมิน และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๔๐) พ.ศ.๒๕๕๕ กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม สามารถนำเงินบริจาคดังกล่าวไปหักลดหย่อนภาษีในการคำนวณภาษีได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่ยอดเงินที่บริจาคดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมิน เพื่อเป็นการจูงใจให้มีการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมในการสืบทอดเอกลักษณ์และดำรงไว้ซึ่งจารีตประเพณีและวัฒนธรรมไทย สมควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่า เมื่อทบทวนมาตรการดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่ามาตรการทั้งสองฉบับจะเอื้ออำนวยในด้านโบราณสถาน และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเป็นหลัก ซึ่งยังไม่ครอบคลุมงานด้านอื่นๆของกระทรวงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศิลปะและกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรม อาทิ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุ และโรงละครแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียนแต่ยังไม่รับการลดหย่อนภาษี ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับการลดหย่อนภาษีสถานศึกษาถึง 2 เท่า ทั้งที่สถานที่เหล่านี้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่ให้การศึกษาแก่เยาวชนและประชาชนเช่นเดียวกับการสถานศึกษา กระทรวงวัฒนธรรมก็น่าจะขอลดหย่อนภาษีให้กับผู้บริจาคได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ตนได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย ของกระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้บริจาค เพื่องานและกิจกรรมในการดำเนินงานทางวัฒนธรรม โดยมอบหมายให้รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน โดยนำต้นแบบในการลดหย่อนภาษีของประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เกาหลี และสิงคโปร์ ที่ลดหย่อนภาษีถึง 2 เท่าให้ผู้บริจาค และเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรมสูงมาก มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน โดยจะต้องศึกษาถึงผลกระทบถึงการขาดรายได้ของกรมสรรพากรด้วย ซึ่งหากมาตรการนี้สำเร็จ จะทำให้ภาคเอกชน และประชาชนมาบริจาค เพื่อพัฒนางานด้านวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น