กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--พีอาร์บูม
สหการประมูล (AUCT) รุกตลาดรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดถึง 60% ตั้งเป้าทั้งปีธุรกิจประมูลรถยนต์มือสองขยายตัว 10% ย้ำยอดขาย 2 ไตรมาสที่ผ่านมา 90,000 คัน เร่งขยายสาขาทั่วประเทศตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 120,000 คันเปิดแผนเตรียมเปลี่ยนสต็อกเก็บรถยนต์บางจังหวัดที่มีอยู่ 22 แห่งทั่วประเทศเป็นสาขา มั่นใจภายใน 5 ปีพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนมาประมูลผ่าน e-auction
นายบูรณิศ ยุกตะนันทน์ หัวหน้าสำนักงานกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผยถึงแนวโน้มของธุรกิจประมูลรถยนต์มือสองว่า มีการขยายตัวค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปี 2556 ที่ผ่านมา เพราะมีรถยนต์เข้าสู่กระบวนการประมูลประมาณ 100,000 คัน และขายได้ประมาณ 70% หรือประมาณ 70,000 คัน ทำให้สหการประมูลครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 55-60% สำหรับปีนี้คาดว่าธุรกิจประมูลน่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 10% และทั้งปีได้ตั้งเป้าว่าจะมีรถยนต์เข้ามาประมูลประมาณ 120,000 คัน ซึ่งช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีรถยนต์เข้ามาสู่การประมูลแล้วขายได้ประมาณ 9 หมื่นคัน คาดว่าผลประกอบการน่าจะเติบโตตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากสหการประมูลได้ขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพิ่ม 4 สาขา คือ สาขาพุทธมณฑลสาย 2, อุบลราชธานี, เชียงใหม่ และสุราษฏร์ธานี รวมทั้งมีสต็อกเก็บรถยนต์ทั่วประเทศอีก 22 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะเปลี่ยนสต็อกเก็บรถยนต์บางแห่งเป็นสาขาเพื่อเปิดให้บริการประมูลซื้อ-ขายรถยนต์มือสอง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการศึกษาตลาดในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะเรื่องความต้องการซื้อของลูกค้า เนื่องจากบางแห่งนั้นอยู่ห่างจากชุมชน หากนโยบายการเพิ่มสาขาแต่ละแห่งมีความเป็นไปได้สูง เชื่อว่าจะสนับสนุนให้ธุรกิจประมูลมีทิศทางการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
นายบูรณิศเปิดเผยเพิ่มเติมว่า กว่า 20 ปีที่ผ่านมาธุรกิจประมูลรถยนต์มือสองได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากบริษัทได้พัฒนารูปแบบการบริการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และเป็นรายแรกของประเทศที่เปิดให้บริการประมูลทางอินเตอร์เน็ตหรือ e-auction โดยได้เปิดให้บริการมา 3 ปีแล้ว แต่ยังมีลูกค้าใช้บริการไม่มากนัก เนื่องจากพฤติกรรมคนซื้อรถยนต์มือสองนั้นต้องการดูรถจริง ดังนั้น ผู้ซื้อผ่าน e-auction ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มั่นใจและไว้วางใจสหการประมูลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้าการซื้อรถยนต์มือสองผ่านระบบ e-auction น่าจะมีการเติบโตชัดเจนและได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคและคนรุ่นใหม่เริ่มเคยชินกับการทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต
“ในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดประมูลรถยนต์มือสองน่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่มั่นใจว่าหลังจาก 5 ปีไปแล้วตลาดดังกล่าวจะเป็นของคนรุ่นใหม่ และการประมูลแบบ e-auction จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่เชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังต้องการดูรถยนต์ จึงต้องยังคงให้ความสำคัญกับการประมูลบนลานจริง แต่สัดส่วนอาจจะน้อยลง นี่คือเหตุผลที่สหการประมูลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบ e-auction เพราะเชื่อว่าการประมูลออนไลน์จะมีความสำคัญในตลาดมากขึ้น จึงต้องเตรียมการเพื่อรองรับพฤติกรรมการซื้อรถยนต์มือสองที่คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน” นายบูรณิศกล่าว