กรุงเทพฯ--7 ต.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
‘บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป’ ผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกรที่ดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ยื่นแบบคำขอและไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,400,000,000 หุ้น ก่อนเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. เคที ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 1,400,000,000 หุ้น (1.4 พันล้านหุ้น) หรือคิดเป็นร้อยละ 25.92 ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน หรือ 5,400,000,000 หุ้น (5.4 พันล้านหุ้น) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ทั้งนี้ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป เป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกร โดยได้ดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เพื่อจำหน่ายให้แก่นายหน้าขาย ผู้ค้าปลีก โรงเชือด บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่และบริษัทอุตสาหกรรมค้าปลีก ตัวแทนส่งออกและตัวแทนรับซื้อเพื่อส่งออก ซึ่งประกอบด้วย 4 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสัตว์ปีก ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่ ธุรกิจสุกร ผลิตและจำหน่ายสุกรมีชีวิต ธุรกิจอาหารสัตว์ เน้นอาหารไก่และสุกร และธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนและเวชภัณฑ์ การจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์และอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทำจากพลาสติก
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. เคที ซีมิโก้ กล่าวด้วยว่า สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะนำเงินไปขยายธุรกิจไก่และสุกร อาทิเช่น การก่อสร้างฟาร์มไก่พันธุ์และฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อเพิ่มเติม นอกจากนี้ จะลงทุนก่อสร้างฟาร์มสุกรทวดพันธุ์ ฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์และโรงเชือดสุกร รวมไปถึงโครงการลงทุนอื่นๆ ในอนาคต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป
ด้านนายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกรทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการเพาะพันธุ์ การเลี้ยง ผลิตและจำหน่ายแบบครบวงจร โดยธุรกิจสัตว์ปีกนั้น บริษัทฯ มีฟาร์มเพาะพันธุ์เลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์จำนวน 15 ฟาร์ม กำลังการผลิต 1,644,000 ตัว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขยายอีก 2 ฟาร์ม คาดแล้วเสร็จ 1 ฟาร์มภายในสิ้นปีนี้และอีก 1 ฟาร์มภายในไตรมาส 2/58 รวมทั้ง บริษัทฯ ยังมีเครือข่ายเกษตรกรทำสัญญากับบริษัทฯ กว่า 600 ราย รวมกว่า 1,400 ฟาร์ม มีกำลังการผลิตไก่ได้ 2,800,000 ตัว เพื่อจำหน่ายในรูปแบบไก่ทั้งตัวและชิ้นส่วนไก่ เช่น ปีกไก่ อกไก่ น่องไก่ เป็นต้น
ส่วนธุรกิจสุกรนั้น บริษัทฯ มีฐานการผลิตทั้งในไทยและเวียดนาม โดยดำเนินการตั้งแต่การเพาะพันธุ์ การเลี้ยงเพื่อจำหน่ายสุกรมีชีวิต ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตฟาร์มสุกรทวดพันธุ์ 450 ตัว ซึ่งมีแผนขยายเพิ่มอีก 1 เท่าตัวภายในไตรมาส 2 ของปี 2558 ขณะที่ฟาร์มสุกรปู่ย่าพันธุ์มีกำลังการผลิต 5,300 ตัว ส่วนฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ มีกำลังการผลิต 9,300 ตัว แบ่งเป็นภายในประเทศ 7,900 ตัว และเวียดนามอีก 1,400 ตัว โดยบริษัทฯ มีแผนขยายฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ในประเทศอีก 3 ฟาร์ม คาดแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ส่งผลให้กำลังการผลิตสุกรพ่อแม่พันธุ์เพิ่มเป็น 17,400 ตัว เพื่อนำไปผลิตเป็นสุกรขุนก่อนที่จะเลี้ยงและจำหน่ายให้แก่ลูกค้าต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป กล่าวว่า ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังทำสัญญาระบบเกษตรกรแบบพันธะสัญญา (Contract Farms) กับเครือข่ายเกษตรกรรวม 260 ราย แบ่งเป็นในไทย 247 ราย เวียดนาม 13 ราย ช่วยเพาะเลี้ยงสุกรขุนเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า ซึ่งมีกำลังการผลิตมากกว่า 226,500 ตัว โดยบริษัทฯ มีแผนขยายกำลังการผลิตอีก 82,000 ตัวภายในปี 2559 ผ่านรูปแบบการขยายเครือข่ายเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์สำหรับไก่และสุกรเป็นหลัก มีกำลังการผลิตรวม 120,000 ตันต่อเดือน จากฐานการผลิตของโรงงาน 3 แห่ง เพื่อป้อนความต้องการให้แก่ฟาร์มเลี้ยงไก่และสุกรของบริษัทฯ รวมถึงจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่น
“เราถือเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรที่มีความประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจผลิตไก่และสุกรรายใหญ่ของไทย ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า เราเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของไทยและเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในการจำหน่ายไก่และสุกรในประเทศไทยที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อป้อนความต้องการของผู้บริโภค” นายวินัย กล่าว