กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
CWT ศึกษาธุรกิจพลังงาน หวังผุดโซลาร์รูฟ ขนาดกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 5-6 เมกะวัตต์ ประหยัดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าในโรงงาน พร้อมสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทฯ ยันรายได้เป้าสิ้นปียังคงเป้าที่1พันล้านบาท
นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 4 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์หนังสัตว์ฟอก และบริการฟอกหนัง ผลิตภัณฑ์ของเล่นสัตว์เลี้ยง 3 ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์หนัง และผลิตภัณฑ์เบาะหนังและชิ้นส่วนหนังสำหรับรถยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟ) ที่จะติดตั้งบนหลังคาอาคารต่าง ๆซึ่งถ้าภายหลังศึกษาแล้วเป็นไปได้ในทางธุรกิจทางบริษัทฯก็พร้อมเดินหน้าในการสร้างธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทฯที่จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า
“ ก่อนหน้านี้ทาง CWT เมื่อปี 55-56 ที่ผ่านมาบริษัท ได้นำระบบตู้อบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ของบริษัท (ธุรกิจของเล่นสุนัข)ซึ่งได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก คุณภาพของสินค้าสะอาด ปราศจากการปนเปื้อน ยกระดับคุณภาพของสินค้า ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า และ ช่วยอนุรักษ์ พลังงาน ในปี 57 นี้จึงทำให้ทางบริษัทสนใจที่จะเริ่มศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟ) ที่จะติดตั้งบนหลังคาอาคารต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะผลักดันการใช้พลังงานที่มาจากพลังงานที่สะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งถ้าศึกษาแล้วมีความเป็นไปได้ก็จะเดินหน้าทำธุรกิจนี้เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯอย่างแน่นอน”นายวีรพลกล่าว
นายวีระพล กล่าวต่อว่าคาดว่าภายหลังเมื่อได้ทำการศึกษาโครงการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วบริษัทฯหรือองค์กรจะไม่เป็นเพียงผู้ใช้ไฟฟ้า แต่จะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งจะประหยัดต้นทุนในด้านพลังงาน และ ใช้งานได้ยาวนานแน่นอนและถ้ามีกำลังการผลิตที่เหลือจากใช้ในโรงงานก็สามารถขายให้กับกับการไฟฟ้าได้อีกเป็นรายได้ให้กับบริษัทโดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานทั้งผลิตหนัง 3 แห่ง และโรงงานเฟอร์นิเจอร์ น่าจะมีพื้นที่หลังคารวมกันหลายหมื่นตารางเมตร สามารถผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิตประมาณ 5-6 เมกะวัตต์
นายวีระพลกล่าวว่าสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 938 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้แล้ว 413.27 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีถัดไป โดยคาดว่ายอดขายจะเติบโตมากกว่า 25% ต่อปีเนื่องจากบริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายเดิม ขณะที่บริษัทฯ จะเน้นเพิ่มลูกค้าในต่างประเทศขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการผลิตสินค้าให้กับผู้ประกอบการกลุ่มยานยนต์ประมาณ 60% และเป็นส่งออกโปรดักส์เกี่ยวกับเครื่องหนังอีกราว 40%