กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--ทีเอ็มบี
ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 3 ปี 2557ในวันนี้ โดยธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 2,387 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 7% จาก 2,575 ล้านบาทในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากในไตรมาสที่แล้วธนาคารมีการรับรู้รายการพิเศษ แต่เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับ 1,870 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว
ผลกำไรของธนาคารปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2556 ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิซึ่งเกิดจากสินเชื่อที่ขยายตัวดีขึ้นหรือเติบโตขึ้น 3% ในไตรมาสนี้ ประกอบกับการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยซึ่งเติบโต 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2556 โดยส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของการขายแบงก์แอสชัวรันส์และการขายกองทุนรวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost to income ratio) ในไตรมาสนี้ลดลงเป็น 50% จาก 52% ในไตรมาสที่แล้ว และ 53% ในไตรมาสที่ 3/2556 ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองของธนาคารในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 3,800 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2556
ทั้งนี้กำไรงวด 9 เดือนของปี 2557 มีจำนวน 6,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับ 3,938 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่แล้ว
ในไตรมาสที่ 3/2557 นี้ เงินฝากของธนาคารลดลงเล็กน้อยประมาณ 4,500 ล้านบาทหรือ 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของเงินฝากประจำ แต่เงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional banking account) เพิ่มขึ้นประมาณ 7,000 ล้านบาทหรือ 4% และโดยรวมในงวด 9 เดือนของปีนี้ ธนาคารสามารถขยายเงินฝากได้ประมาณ 39,000ล้านบาทหรือ 7% โดยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นในช่วง 9 เดือน มาจาก 2 ส่วนเป็นหลัก คือ เงินฝากลูกค้ารายย่อยในผลิตภัณฑ์เงินฝากที่เป็นจุดเด่นของธนาคาร คือ เงินฝากไม่ประจำ (No Fixed) เงินฝาก ME by TMBและมาจากเงินฝากเพื่อธุรกรรมทางการเงิน ขณะที่สินเชื่อในไตรมาสที่ 3/2557 นี้ ขยายตัวประมาณ 16,000 ล้านบาทหรือ 3% จากไตรมาสที่แล้วจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และสินเชื่อลูกค้าบุคคล โดยสำหรับงวด 9 เดือนนั้น สินเชื่อเพิ่มขึ้นรวม 5%
ธนาคารยังคงควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้อย่างดี โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ของธนาคารและบริษัทย่อยมีจำนวน 21,027ล้านบาทในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยประมาณ 250 ล้านบาทจากไตรมาสที่แล้ว และลดลงในงวด 9 เดือนเป็นจำนวน1,394 ล้านบาท โดยสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ลดลงมาอยู่ที่ 3.43% จาก 3.87% ณ สิ้นปีที่แล้ว ขณะที่สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ยังคงแข็งแกร่งที่ 139%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบี กล่าวว่า “ธนาคารมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ขณะที่ยังสามารถขยายฐานลูกค้าเงินฝากธุรกรรมทางการเงินได้อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 นี้แม้ว่าเงินฝากรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่มีเงินฝากธุรกรรมทางการเงินเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย อีกทั้งธนาคารยังคงดำรงสถานะกองทุนที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.3% และกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.9% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.5% และ 6.0%ตามลำดับ”
นอกจากนี้ จากการที่ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สามารถดำรงความแข็งแกร่งทางการเงินและควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ ได้เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของทีเอ็มบี เป็น Baa 2 จากBaa3 ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา