กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--ธนาคารธนชาต
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) “TCAP” รายงานผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 ปี 2557 กำไรสุทธิลดลงร้อยละ 2.67 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ยังชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2557 ว่า “กลุ่มธนชาตมีกำไรสุทธิจำนวน 2,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.65 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 1,202 ล้านบาท ลดลง 33 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.67 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวลงของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจธนาคารยังคงเติบโตได้ดี แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลงจากการหดตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นตามการปรับโครงสร้างเงินฝากและเงินกู้ยืมให้มีระยะเวลายาวขึ้น แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นตามภาวะตลาดทุนที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองลดลงร้อยละ 13.06 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีและลดความกังวลต่อคุณภาพสินทรัพย์ โดยคาดว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพจะปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาสต่อๆไป”
ขณะที่ นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2557 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 2,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81 ล้านบาทหรือร้อยละ 3.45 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อประเภทอื่นซึ่งทดแทนสินเชื่อรถยนต์ที่ชะลอตัวตามภาวะตลาดยานยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัว การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและการบริหารสำรองอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ธนาคารได้มุ่งพัฒนาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันโดยการสานต่อการพัฒนาศักยภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าและพัฒนาการบริการให้ดีที่สุด โดยธนาคารได้เริ่มดำเนินการใช้ระบบงานอนุมัติสินเชื่อ (LOS System) ซึ่งจะช่วยให้การอนุมัติสินเชื่อมีความถูกต้อง รวดเร็ว และลดความเสี่ยงการเกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพในอนาคต”
“สำหรับความเพียงพอของเงินกองทุน ธนาคารมุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2557 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 15.35 และเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 มากกว่าร้อยละ 10”