กรุงเทพฯ--28 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “AA-” จาก “A+” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงเครือข่ายในการรองรับ-ส่งต่อและให้บริการผู้ป่วยที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นของบริษัท ตลอดจนความสามารถในการบริหารงานของบริษัทที่ทำให้ผลการดำเนินงานมีความเข้มแข็ง และความสามารถในการบริหารโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังรวมถึงความเป็นผู้นำธุรกิจของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมถึงคณะผู้บริหาร บุคลากร และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการใช้เงินลงทุนจำนวนมากเพื่อการขยายกิจการในระยะปานกลาง ตลอดจนสภาวะการแข่งขันในธุรกิจเพื่อสุขภาพทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศและในภูมิภาค อีกทั้งยังคงผลประกอบการที่เข้มแข็งของโรงพยาบาลในเครือข่ายที่มีอยู่และที่ซื้อเข้ามาใหม่เอาไว้ได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทขยายเครือข่ายโรงพยาบาลโดยไม่ทำให้สถานะทางการเงินอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังให้บริษัทเพิ่มจำนวนคนไข้ในแต่ละโรงพยาบาลในเครือและประสบความสำเร็จในการนำโรงพยาบาลที่ซื้อเข้ามารวมกลุ่มได้ด้วยดี
บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ บริษัทเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศด้วยเครือข่ายตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 37 แห่งภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่เป็นที่รู้จักในประเทศจำนวน 5 ตรา ภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลต่างประเทศ 1 ตรา และภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลอื่น ๆ ในประเทศอีก 3 ตรา โดยตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลหลักคือโรงพยาบาลกรุงเทพ (18 แห่ง) โรงพยาบาลสมิติเวช (4 แห่ง) โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (1 แห่ง) โรงพยาบาลพญาไท (5 แห่ง) และ โรงพยาบาลเปาโล (3 แห่ง) ตราสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในกลุ่มคนไทย ส่วนโรงพยาบาล 3 แห่งในประเทศกัมพูชาดำเนินงานภายใต้ชื่อ Royal International Hospital นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลอีก 3 แห่งที่ดำเนินงานภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลท้องถิ่นคือโรงพยาบาลสนามจันทร์ โรงพยาบาลเทพากร และโรงพยาบาลภูเก็ตอินเตอร์เนชั่นแนล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยในทั้งสิ้น 4,707 เตียง ฐานลูกค้าของบริษัทครอบคลุมกลุ่มคนไข้ระดับกลางถึงระดับบนในหลากหลายทำเล ทั้งนี้ โรงพยาบาลในเครือจำนวน 13 แห่งและคลินิกอีก 1 แห่งของบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Joint Commission International (JCI)
สถานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความหลากหลายทั้งในด้านบริการ ฐานลูกค้า และทำเลที่ตั้ง บริษัทเป็นแหล่งรวมบุคลากรทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล รวมถึงพนักงานคลังยาและเวชภัณฑ์ อีกทั้งยังมีเครือข่ายระบบส่งต่อผู้ป่วยที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย โรงพยาบาลในกลุ่มเน้นการรักษาและให้บริการในระดับตติยภูมิซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และเพิ่มอัตราการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งบริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการให้มากยิ่งขึ้น บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนไข้ที่มีรายได้ระดับปานกลางมากขึ้นด้วยการเพิ่มโรงพยาบาลที่ให้บริการในระดับทุติยภูมิมากขึ้น การประหยัดจากขนาดซึ่งเป็นผลจากการใช้บริการห้องปฏิบัติการ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์หลักร่วมกันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ต้นทุนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่งแม้จะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวและความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในปีที่ผ่านมา รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2551-2556 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ระดับ 18% บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ที่ 26,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของจำนวนคนไข้ในเครือข่ายโรงพยาบาล รวมทั้งระดับความรุนแรงของโรคที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลตามอัตราเงินเฟ้อ และการรวมรายได้จากกิจการโรงพยาบาลที่ควบรวมเข้ามา โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 โรงพยาบาลมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอกจำนวน 22,795 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรองรับผู้ป่วยในจำนวน 3,280 เตียงต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 55% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ส่วนรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองมีมากกว่า 66% ของรายได้รวม
ในช่วงปี 2558-2560 สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตโดยเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจจะมาจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่และการเติบโตที่แข็งแกร่งของจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลในเครือของบริษัท อัตรากำไรจากการดำเนินงาน(อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ 20.4% ในปี 2556 เปรียบเทียบกับระดับ 22.3% ในช่วงระหว่างปี 2552-2555 โดยมีค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทเตรียมบุคลากรทางการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลแห่งใหม่ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 21.9% อันเป็นผลมาจากการที่บริษัทมุ่งเน้นควบคุมค่าใช้จ่าย ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ในช่วง 20%-22%
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ดี ตลอดจนความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้น และสภาพคล่องที่เพียงพอ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 9,411 ล้านบาทในปี 2556 ปรับสูงขึ้นจาก 8,819 ล้านบาทในปี 2555 ในช่วงปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 10,000-13,000 ล้านบาทต่อปี โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ในช่วง 35%-45% ในปี 2558-2560
บริษัทวางแผนจะขยายเครือข่ายโรงพยาบาลในเครือเป็น 50 แห่งภายในปี 2559 เพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์การเติบโตดังกล่าว บริษัทกำลังก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่อีก 7 แห่งและได้ซื้อธุรกิจโรงพยาบาลอื่น ๆ เพื่อขยายฐานคนไข้ในหลายพื้นที่ การขยายธุรกิจทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 19,916 ล้านบาท ณ ปลายปี 2555 มาเป็น 23,421 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทมีฐานทุนขนาดใหญ่และบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระวัง จึงทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทค่อนข้างคงที่ โดยอยู่ที่ระดับ 35% ในช่วงปี 2555 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2557 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วงปี 2558-2560 โดยคาดว่าเงินทุนสำหรับการลงทุนบางส่วนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและเงินที่ได้รับจากการออกของหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวน 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะอยู่ในช่วงการลงทุน ทริสเรทติ้งก็คาดหวังให้บริษัทจัดการโครงสร้างเงินทุนอย่างระมัดระวังและรักษาความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังคาดหวังให้บริษัทคงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 45% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าด้วย
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BGH)
อันดับเครดิตองค์กร: AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BGH153A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 AA-
BGH166A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 AA-
BGH233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable