เอ็มเอ็มซี สิทธิพล ฉลอง 100,000 คัน รถมิตซูบิชิไทยไปทั่วโลก

ข่าวทั่วไป Tuesday September 23, 1997 19:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพ--23 ก.ย.--เอ็มเอ็มซี สิทธิผล
บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด (MMC SITTIPOL CO., LTD.)ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิประเทศไทย ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ กร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (H.E. KORN DABBARANSI ; DEPUTY PRIME MINISTER & MINISTER OF INDUSTRY) เป็นประธานในพิธีฉลอง 100,000 คัน รถมิตซูบิชิไทยไปทั่วโลก (THE 100,000 th EXPORTED UNITS ; WORLDWIDE SUCCESS) เนื่องในวาระที่บริษัทฯ สามารถส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิไปยังประเทศต่าง ๆ ในทุกทวีปทั่วโลก 100,000 คัน หรือคิดเป็นมูลค่าราว 23,000 ล้านบาท ในเดือนกันยายนนี้ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล เปิดหน้าประวัติศาสตร์ การส่งออกรายแรกของไทย
มร.ตากาชิ มูราซาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด (MR.TAKASHI MURASAWA ; PRESIDENT & CHIEF EXECUTIVE OFFICER) ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิที่ผลิตในประเทศไทยว่า ตั้งแต่ปี 2504 ที่บริษัทฯ เริ่มก่อตั้ง ช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจตลาดรถยนต์ไทยยังไม่กว้างขวางมากนัก เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จึงเพียงแต่ผลิตรถยนต์มิตซูบิชิเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยการจำหน่ายในประเทศเท่านั้น"
"จนกระทั่งเมื่อปี 2531 นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมรถยนต์เอ็มเอ็มซี สิทธิผล สามารถส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ ซึ่งประกอบในประเทศไทยไปจำหน่ายยังประเทศแคนาดา ถือเป็นยุคบุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยก้าวสำคัญก้าวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงการผลิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ซึ่งตั้งอยู่บนมาตรฐานที่ต่างชาติยอมรับ"
จากนั้น ในปี 2532 บริษัทฯ จึงได้เริ่มส่งออกรถยนต์นั่งมิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ ไปยังไซปรัส อินโดนีเซีย และประเทศในแถบอินโดจีน รวมทั้งเริ่มส่งชิ้นส่วนซีเคดีรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 ไปยังประเทศโปรตุเกส ต่อมาปี 2533 ภายหลังจากการเปิดตัวโรงงานผลิตรถบรรทุก ฟูโซ่ และแคนเตอร์ ได้ไม่นาน เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์การส่งออกอีกครั้ง ด้วยการส่งรถบรรทุกสิบล้อมิตซูบิชิ ฟูโซ่ ไปยังประเทศอินโดนีเซีย ส่งออก มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ ไปยังประเทศอิสราเอล ในช่วงปี 2535 บริษัทฯ ก็เริ่มการส่งออกกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 ไซโคลน ไปประเทศตุรกี และทวีปยุโรป
ฐานการผลิตรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ส่งออกทั่วโลก
จนกระทั่งมาถึงปี 2538 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) มีการเปลี่ยนโฉมกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ใหม่ พร้อมกับประกาศให้ เอ็มเอ็มซี สิทธิผล เป็นฐานการผลิตรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา โฉมใหม่ เพื่อการจำหน่ายในประเทศ และการส่งออก แต่เพียงผู้เดียว
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จึงได้เริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ขึ้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อเป็นฐานการผลิตรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ส่งออกทั่วโลก โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายไว้ว่าจะผลิตรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ในแบบและรุ่นต่าง ๆ กว่า 100 รุ่น ส่งออกไปยัง 139 ประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของรถทั้งคัน หรือซีเคดี และชุดอะไหล่แท้ ซึ่งโรงงานแห่งนี้ มีความสามารถในการผลิตสูงสุดถึง 200,000 คันต่อปี และใช้เงินลงทุนและเงินหมุนเวียนถึง 50,000 ล้านบาท
กระบะมิตซูบิชิ ฝีมือคนไทย รุกตลาดโลก
เมื่อโรงงานแห่งที่ 4 สร้างเสร็จในปี 2539 บริษัทฯ จึงเริ่มการส่งออกกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา โฉมใหม่ ไปยังประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศแรก ตามมาด้วยกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ละตินอเมริกา แอฟริกา และที่ยิ่งไปกว่านั้น เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ได้รับความไว้วางใจจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ให้ผลิต และส่งออกรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา สปอร์ตตี้ 4WD กลับไปจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นเองด้วย ถือได้ว่า บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ได้พัฒนาธุรกิจการส่งออกรถมิตซูบิชิ ให้กลายเป็นฐานการผลิต รถยนต์ที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งของโลก
โดยในปี 2539 นั้นบริษัทฯ ส่งออกกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา โฉมใหม่ได้ถึง 10,670 คัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท และในปี 2540 นับแต่เดือนมกราคม ถึงต้นเดือนสิงหาคม 2540 นี้ ได้ส่งออกรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ถึง 22,902 คัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 7,830 ล้านบาท
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ผู้นำการส่งออกรถยนต์
ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2531 ถึงปี 2540 บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ผลิตรถมิตซูบิชิ เพื่อการส่งออกหลากหลายประเภท รวมทั้งสิ้นกว่า 70 รุ่น ทั้งรถยนต์นั่งมิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ รถบรรทุกสิบล้อมิตซูบิชิ ฟูโซ่ กระบะมิตซูบิชิ แอล 200 ไซโคลน และกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา โฉมใหม่ โดยส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในทุกทวีปทั่วโลกแล้ว ถือได้ว่าบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการส่งออกรถยนต์อย่างแท้จริง
ซึ่งประเทศที่ บริษัทฯ มีการส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ออสเตรเลีย เยอรมัน โปรตุเกส อิตาลี และเบลเยี่ยม
ส่วนประเภทของรถยนต์มิตซูบิชิที่ส่งออกไปมากที่สุด นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้แก่
อันดับ 1 ได้แก่ รถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์
จำนวนที่ส่งออก คือ 39,158 คัน
อันดับ 2 ได้แก่ รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา โฉมใหม่
จำนวนที่ส่งออก คือ 33,572 คัน
อันดับ 3 ได้แก่ รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 ไซโคลน
จำนวนที่ส่งออก คือ 22,621 คัน(หมายเหตุ : จำนวนรถส่งออกตั้งแต่ปี 2531- เดือนสิงหาคม 2540)สร้างประวัติศาสตร์การส่งออกรถยนต์ไทย ครบ 100,000 คัน แล้ววันนี้
ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัทฯ เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด (DR.VACHARA PHANCHET ; EXECUTIVE VICE PRESIDENT) กล่าวถึงความสำเร็จของการเป็นผู้นำการส่งออกรถยนต์ ของประเทศไทยว่า "สำหรับปี 2540 นี้ การผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกประสบความสำเร็จอย่างสูง คาดไว้ว่าจนถึงสิ้นปีนี้ บริษัทฯ จะสามารถผลิตและส่งออกรถยนต์ได้เกินกว่าเป้าที่วางไว้ 40,000 คัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท"
รวมทั้งได้ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการจัดพิธีฉลอง 100,000 คัน รถมิตซูบิชิไทยไปทั่วโลก ในวันนี้ว่า "นับตั้งแต่เริ่มการส่งออกในปี 2531 จนกระทั่งถึงเดือนกันยายนนี้ ตราบวันนั้นจนถึงวันนี้ เอ็มเอ็มซี สิทธิผล สามารถส่งรถมิตซูบิชิที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทย ส่งไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้กว่า 100,000 คัน หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งหมดกว่า 23,000 ล้านบาท เฉพาะเดือนกันยายนนี้ บริษัทฯ จะทำการส่งออกรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา โฉมใหม่ ไปยังประเทศต่าง ๆ กว่า 14 ประเทศ ในหลากหลายทวีป อาทิ เยอรมัน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ ฮังการี เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,250 คัน หรือ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,754 ล้านบาท"
"ดังนั้น บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด จึงได้จัดพิธีฉลอง 100,000 คัน รถมิตซูบิชิไทยไปทั่วโลก ขึ้นในวันที่ 22 กันยายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่ บริษัทฯ ได้ส่งออกรถมิตซูบิชิที่ผลิตในประเทศไทย ครบ 100,000 คัน นับเป็นวันแห่งความยินดี เป็นเสมือนสิ่งที่ยืนยันว่ารถยนต์มิตซูบิชิที่ผลิตในประเทศไทย ได้รับการยอมรับจากทุกแห่งทั่วโลก นับได้ว่า บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด เป็นผู้นำในการส่งออกรถยนต์อย่างแท้จริง"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังภูมิใจที่ได้มีโอกาสช่วยให้มีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนงานจำนวนมาก รวมทั้งมีส่วนช่วยเรื่องดุลการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการนำเงินตราต่างชาติเข้ามาบรรเทาความเดือดร้อนของประเทศ ช่วงเศรษฐกิจชะงักงัน ในปัจจุบันนี้ด้วย--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ