กรุงเทพฯ--5 พ.ย.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
· การดำเนินการควบรวมกิจการกับคิงส์ออสการ์ และเมอร์อไลอันซ์ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกขั้นตอนอย่างเป็นทางการ
· กลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน จะรับรู้รายได้จากทั้งสองบริษัทฯ นี้ นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป
บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำปลาทูน่าบรรจุกระป๋องอันดับหนึ่งของโลก ประกาศอย่างเป็นทางการถึงความสำเร็จของการควบรวมกิจการกับเมอร์อไลอันซ์ และคิงส์ออสการ์โดยสมบูรณ์ทุกขั้นตอน การปิดดีลธุรกิจดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องมาจากการประกาศก่อนหน้านี้ในวันที่ 4 และ 15 กันยายน ที่กลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยนได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการทั้งหมดของเมอร์อไลอันซ์ และคิงส์ออสการ์ ตามลำดับ
ข้อตกลงการควบรวมธุรกิจครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ของทียูเอฟ ต่อเป้าหมายการเพิ่มรายได้กลุ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2563 เมื่อรวมกับศักยภาพในปัจจุบันของกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน การรวมกิจการนี้นับเป็นการสร้างโอกาสให้บริษัทฯ แข็งแกร่งขึ้นและยังขับเคลื่อนการเติบโตอีกด้วย ทียูเอฟ จะรับรู้รายได้ของเมอร์อไลอันซ์และคิงส์ออสการ์ ในยอดขายและรายได้รวมของกลุ่มบริษัททียูเอฟ มีผลนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป
เมอร์อไลอันซ์ คือผู้ผลิตแซลมอนรมควันแช่เย็นชั้นนำของยุโรป โดยมียอดรายได้รวมที่ 220 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันสิ้นสุดที่ 31 มีนาคม 2557 ขณะที่คิงส์ออสการ์ เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ซาร์ดีนบรรจุกระป๋องในประเทศนอร์เวย์ สหรัฐอเมริกา โปแลนด์ เบลเยี่ยม และออสเตรเลีย โดยมียอดขายรวมกว่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2556 ปัจจุบัน ทั้งสองบริษัทฯ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกอย่างเป็นทางการ และกำลังดำเนินธุรกิจอย่างก้าวกระโดดเพื่อสร้างความเข้มแข็งและขยายโอกาสการเติบโตของแบรนด์ในภูมิภาคใหม่ๆ ทั่วโลก
การเข้ามาของเมอร์อไลอันซ์ ช่วยให้กลุ่มไทยยูเนี่ยน ขยายหมวดหมู่ผลิตจากประเภทแช่แข็งและบรรุจุกระป๋องไปสู่หมวดหมู่อาหารแช่เย็น ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และเครื่องหมายการค้าอันโดดเด่นอย่างคิงส์ออสการ์ ยังได้เข้ามาเติมเต็มกับแบรนด์ชั้นนำในปัจจุบันของทียูเอฟ ได้อย่างลงตัว ได้แก่ ชิคเก้นออฟเดอะซี จอห์นเวสต์ พีทินาเวียร์ พาร์เมนเทียร์ มารีบลู เซ็นจูรี่ และซีเล็ค
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มทียูเอฟ กล่าวให้ความเห็นว่า “การดำเนินการควบรวมกิจการของทั้งสองธุรกิจทุกขั้นตอนอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ช่วยเสริมให้เรามีความแข็งแกร่งขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก การเข้ามาของเมอร์อไลอันซ์และคิงส์ออสการ์ ทำให้เรามุ่งหน้าสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ความเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม และที่สำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้บริโภคของเราด้วยความเชี่ยวชาญในอาหารทะเลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น”