สรุปราคาซื้อขายทองคำ และ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 9.00 น.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 6, 2014 10:34 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--MTS Gold Group ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,167 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,146เหรียญ/ออนซ์ (22.30น.) ค่าเงินบาทปิด 32.81 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 18,000 บาท กับ 18,100บาท และกลับมาปิดที่ 17,800บาท กับ 17,900 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาทอยู่ที่ 984 คู่สัญญาแบบ10 บาทอยู่ที่ 5,613 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท เพิ่มขึ้น 7.9% แบบ10 บาท เพิ่มขึ้น 6.52% GFZ14 ปิด 17,980 บาท และ GFG14 ปิด 18,000 บาท GF10Z14 ปิดที่ 17,970 บาท GF10G14 ปิดที่ 18,030 บาท สัญญา Comex ลดลง 22 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,145.7 ดอลลาร์/ออนซ์ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.49 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ระดับ 78.68 ดอลลาร์/บาร์เรล SPDR ถือครองทองคำที่ระดับ 735.82 ตัน (ขายออก 3 ตัน) ข่าวที่สำคัญ -ทองคำปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2010 เพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ รวมถึงตัวเลขการจ้างงานที่สดใสของสหรัฐฯ จึงทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำลง -นักวิเคราะห์จากคิทโก้ ระบุว่า ในเชิงเทคนิคจะเห็นได้ว่าราคาทองคำปรับตัวลดลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ซึ่งแนวโน้มหลักของทองคำยังคงเป็นทิศทางขาลง โดยแนวรับสำคัญทางเทคนิคของทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,100 เหรียญ และแนวต้านสำคัญ 1,160 เหรียญตามลำดับ สำหรับวันนี้คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,130 – 1,155 เหรียญ -เมื่อวานนี้ SPDR ลดการถือครองทองคำต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 อีก 3 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ระดับ 735.82 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 29 กันยายน 2008 -เทรดเดอร์ จับตาการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะส่งผลกดดันต่อราคาทองคำ เนื่องจากเชื่อว่าผลที่ออกมาจะดีกว่าที่คาดการณ์ และจะกดดันทองคำในทิศทางขาลงต่อเนื่อง แต่หากออกมาแย่ลงตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อาจช่วยบรรเทาการปรับตกของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ได้ -ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นติดต่อกัน 22 สัปดาห์ สู่ระดับ 1.2478 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับ 1.2556 ยูโร/ดอลลาร์ เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากข้อมูลภาคแรงงานที่สดใส รวมถึงชัยชนะการเลือกตั้งกลางเทอมของพรรครีพับลิกัน ที่สามารถครองเก้าอี้ส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ จึงส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าอาจมีการดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น -โดยนักวิเคราะห์ กล่าวว่า พรรครีพับลิกันมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจมากกว่าพรรคเดโมแครต จึงส่งผลให้เกิดความหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้าเสรีในภูมิภาคแปซิฟิกระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่น -ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ยังคงปรับตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน หลังจากค่าเงินเยนปรับขึ้นสู่ระดับ 114.71 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 113.57 เยน/ดอลลาร์ หลังบีโอเจยืนยันว่าจะดำเนินการใช้ทุกมาตรการที่เป็นไปได้หากพบว่าสภาพเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันในทิศทางขาลง -ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนประจำเดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 5,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 230,000 ตำแหน่ง จากเดิม 225,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แสดงให้เห็นว่าภาคแรงงานของสหรัฐฯมีการฟื้นตัวต่อเนื่อง และสอดคล้องกับมุมมองเชิงบวกของเฟดเกี่ยวกับตลาดแรงงาน จึงอาจส่งผลให้เฟดพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด -นักวิเคราะห์ คาดว่า การประชุมอีซีบีในวันนี้ อีซีบียังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ 0.05% และอาจมีการประกาศเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งเมื่อวานนี้ตัวเลขยอดค้าปลีกของยูโรโซนประจำเดือนกันยายน ปรับตัวแย่ลงสู่ระดับ -1.3% จากระดับ 0.9% ส่งสัญญาณให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงเปราะบางและยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะชะลอตัวได้ -ยูบีเอส เปิดเผยคาดการณ์จีดีพีจีนช่วงต้นปี 2015 จะขยายตัวได้ 6.8% ขณะที่ปี 2016 จะอยู่ที่ระดับ 6.5% โดยชะลอลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 7% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้รัฐบาลจีนอาจผ่อนคลายการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดสัดส่วนเงินดาวน์ และลดอัตราดอกเบี้ยจำนอง รวมถึงลดค่าธรรมเนียมและภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย -เมื่อคืนนี้ ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด +0.58% เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่ขานรับกับรายงานการจ้างงานภาคเอกชน รวมถึงชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอม -นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.70 – 33.00 บาท/ดอลลาร์ โดยมีโอกาสอ่อนค่าขึ้นทดสอบ 33.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเงินบาทค่อยๆทยอยอ่อนค่าหลังทราบผลการประชุม กนง. -อย่างไรก็ดี ธปท. กล่าวว่า กรณีค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ เกิดจากการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ จึงส่งผลให้ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นในภูมิภาคอ่อนค่าเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทจะไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศเนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัวในระดับค่อนข้างดี -เมื่อวานนี้ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ 2.00% ต่อปี และอาจมีการปรับประมาณเศรษฐกิจไทยในปี 2557 และ 2558 อีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ หากพบว่าเศรษฐกิจในช่วง 1-2 เดือนต่อนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ภาคการส่งออกของไทย คาดว่าจะติดลบจากที่คาดการณ์ไว้ 0% ทองคำปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2010 เพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ รวมถึงตัวเลขการจ้างงานที่สดใสของสหรัฐฯ จึงทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำลง -นักวิเคราะห์จากคิทโก ระบุว่า ในเชิงเทคนิคจะเห็นได้ว่าราคาทองคำปรับตัวลดลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ซึ่งแนวโน้มหลักของทองคำยังคงเป็นทิศทางขาลง โดยแนวรับสำคัญทางเทคนิคของทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,100 เหรียญ และแนวต้านสำคัญ 1,160 เหรียญตามลำดับ สำหรับวันนี้คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,130 – 1,155 เหรียญ -เมื่อวานนี้ SPDR ลดการถือครองทองคำต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 อีก 3 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ระดับ 735.82 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 29 กันยายน 2008 -เทรดเดอร์ จับตาการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะส่งผลกดดันต่อราคาทองคำ เนื่องจากเชื่อว่าผลที่ออกมาจะดีกว่าที่คาดการณ์ และจะกดดันทองคำในทิศทางขาลงต่อเนื่อง แต่หากออกมาแย่ลงตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อาจช่วยบรรเทาการปรับตกของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ได้ -ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นติดต่อกัน 22 สัปดาห์ สู่ระดับ 1.2478 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับ 1.2556 ยูโร/ดอลลาร์ เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากข้อมูลภาคแรงงานที่สดใส รวมถึงชัยชนะการเลือกตั้งกลางเทอมของพรรครีพับลิกัน ที่สามารถครองเก้าอี้ส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ จึงส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าอาจมีการดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น โดยนักวิเคราะห์ กล่าวว่า พรรครีพับลิกันมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจมากกว่าพรรคเดโมแครต จึงส่งผลให้เกิดความหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้าเสรีในภูมิภาคแปซิฟิกระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่น -ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ยังคงปรับตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน หลังจากค่าเงินเยนปรับขึ้นสู่ระดับ 114.71 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 113.57 เยน/ดอลลาร์ หลังบีโอเจยืนยันว่าจะดำเนินการใช้ทุกมาตรการที่เป็นไปได้หากพบว่าสภาพเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันในทิศทางขาลง -ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนประจำเดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 5,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 230,000 ตำแหน่ง จากเดิม 225,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แสดงให้เห็นว่าภาคแรงงานของสหรัฐฯมีการฟื้นตัวต่อเนื่อง และสอดคล้องกับมุมมองเชิงบวกของเฟดเกี่ยวกับตลาดแรงงาน จึงอาจส่งผลให้เฟดพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด -นักวิเคราะห์ คาดว่า การประชุมอีซีบีในวันนี้ อีซีบียังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ 0.05% และอาจมีการประกาศเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งเมื่อวานนี้ตัวเลขยอดค้าปลีกของยูโรโซนประจำเดือนกันยายน ปรับตัวแย่ลงสู่ระดับ -1.3% จากระดับ 0.9% ส่งสัญญาณให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงเปราะบางและยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะชะลอตัวได้ -ยูบีเอส เปิดเผยคาดการณ์จีดีพีจีนช่วงต้นปี 2015 จะขยายตัวได้ 6.8% ขณะที่ปี 2016 จะอยู่ที่ระดับ 6.5% โดยชะลอลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 7% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้รัฐบาลจีนอาจผ่อนคลายการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดสัดส่วนเงินดาวน์ และลดอัตราดอกเบี้ยจำนอง รวมถึงลดค่าธรรมเนียมและภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย -เมื่อคืนนี้ ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด +0.58% เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่ขานรับกับรายงานการจ้างงานภาคเอกชน รวมถึงชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอม -นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.70 – 33.00 บาท/ดอลลาร์ โดยมีโอกาสอ่อนค่าขึ้นทดสอบ 33.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเงินบาทค่อยๆทยอยอ่อนค่าหลังทราบผลการประชุม กนง. -อย่างไรก็ดี ธปท. กล่าวว่า กรณีค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ เกิดจากการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ จึงส่งผลให้ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นในภูมิภาคอ่อนค่าเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทจะไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศเนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัวในระดับค่อนข้างดี -เมื่อวานนี้ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ 2.00% ต่อปี และอาจมีการปรับประมาณเศรษฐกิจไทยในปี 2557 และ 2558 อีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ หากพบว่าเศรษฐกิจในช่วง 1-2 เดือนต่อนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ภาคการส่งออกของไทย คาดว่าจะติดลบจากที่คาดการณ์ไว้ 0% ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเมื่อคืน -ADP Non-Farm Employment Change ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 225K ตัวเลขจริงปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 230K -ISM Non-Manufacturing PMI ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 58.6 ตัวเลขจริงปรับตัวลดลงสู่ระดับ 57.1 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในคืนนี้ -ECB Press Conference -Unemployment Claims ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 287K คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 285K ทิศทางราคาทองคำ ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในการซื้อขายช่วงตลาดเอเชียและตลาดลอนดอน โดยปรับลดลงจากระดับ 1,165 เหรียญ โดยหลุด 1,160 และ 1,150 เหรียญตามลำดับ ซึ่งถือเป็นแนวรับทางจิตวิทยา และไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,141 เหรียญโดยประมาณ และกลับมาปิดตลาด COMEX เมื่อคืนนี้ที่ระดับ1,145.7 เหรียญ สำหรับ SPDR เมื่อวานนี้ ขายทองคำออกอีก อีก 3 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ระดับ 735.82ตัน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อวานนี้ของสหรัฐฯ ได้แก่ ADP Non-Farm Employment Change ออกมาดีขึ้น ขณะที่ ISM Non-Manufacturing PMI ออกมาแย่ลงเล็กน้อย สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในคืนนี้ คือ Jobless Claims คาดการณ์ว่า จะมีผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานลดลงเล็กน้อย ทางด้านการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ พบว่า พรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งสามารถครองเสียงส่วนใหญ่ได้ในสภาคองเกรส จึงจะส่งผลให้เกิดการเกื้อหนุนเศรษฐกิจต่อไป วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค ราคาทองคำหลุดแนวรับทางจิตวิทยา 1,150 เหรียญลงมาทำให้ในระยะสั้นและระยะยาวยังคงเป็นแนวโน้มขาลง หลายๆครั้งราคาเริ่มเข้าสู่ภาวะ Oversold ในระยะสั้น โดยที่ตลาดคงรอดูตัวเลขการจ้างงานอย่างต่อเนื่องในวันศุกร์ และคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,130 – 1,150 เหรียญ สำหรับแนวต้านสำคัญของทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,160 เหรียญ ขณะที่ค่าเงินบาทเองมีการอ่อนค่าต่อเนื่อง และทำ High สุดที่ระดับประมาณ 32.87 บาท/ดอลลาร์ และเช้านี้แข็งค่าเล็กน้อย 32.82 บาท/ดอลลาร์ กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ แนะนำให้ทำกำไรในระยะสั้นเป็นช่วงๆ และเก็งกำไรในทิศทางขาลง บริหาร Portfolio ให้ดี - นักลงทุนที่ถือ Long Position ลดสถานะ Long หรือหาจังหวะปิดสถานะ และควรบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ตามที่ได้แนะนำมาโดยตลอด - นักลงทุนที่ถือ Short Position แนะนำให้ทำกำไรในระยะสั้นเป็นช่วงๆ เช่นเดียวกัน กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน Weekly Trading ยังคงแนะนำให้ทำกำไรในทิศทางขาลง บริหารพอร์ตให้สมดุลกับสภาพตลาด Gold Futures Z14 จะมีแนวรับที่ระดับ 17,860 บาท และแนวต้านที่ระดับ 18,060 บาท Gold Futures G15 จะมีแนวรับที่ระดับ 17,910 บาท และแนวต้านที่ระดับ 18,110 บาท บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง ประชาสัมพันธ์: 1. พบบูธ MTS Gold ภายในงาน “มหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 9” (Money Expo Chiangmai 2014) ในวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2557 เวลา 10.00-20.00น. ณ เชียงใหม่ฮอลล์ เซ็นทรัลพลาซ่า จ.เชียงใหม่ สอบถามรายละเอียด MTS Gold Futures สาขาเชียงใหม่ 053-232-703 2. เรียนเชิญนักลงทุนเข้าร่วมงานสัมมนาพิเศษ “Technical Class : ทำกำไรในทองคำโดยใช้กราฟเทคนิค” (Level 2) ร่วมบรรยายโดย นพ. กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ณ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น17 เวลา 15.00-17.00น. รับจำนวนจำกัด 40 ที่นั่ง สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ MTS Gold Call Center: 02 770 7777 (เปิดรับเฉพาะสมาชิกของบริษัท MTS Gold และ MTS Gold Futures เท่านั้น หากผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกต้องมีการเปิดบัญชีก่อนเข้าร่วมงานสัมมนา). 3. HOT Line: “MTS E-Business 02-770-7791” นักลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดด้านการลงทุนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทั้งระบบ Gold Online และGold Futures ได้ตั้งแต่เวลา 09.00-24.00น. MTS Research MTS Gold Group Phone: 02-770-7777 Fax: 02-623-9366 Email: research@mtsgoldgroup.com Website: http://www.mtsgold.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ