กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
Q.แนะนำตัวและอัพเดตผลงานหน่อย
A.สวัสดีครับ ผมแจ๊ค-กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา ตอนนี้ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เอกภาพยนตร์ สำหรับผลงานที่ผ่านมาตอนนี้ก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ได้เล่นหนังกับพี่มะเดี่ยวตั้งแต่ปี’55 เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ตอนนั้นเล่นบทเป็นบีม เป็นเด็กม.ต้น แล้วก็มาเป็นเกรียนฟิคชั่น ปี’56 ได้รับบทเป็นโมน ซึ่งโมนจะมี 2 คาแร็คเตอร์ คือจะเป็นคนนิ่งๆ ติ๋มๆ หน่อย แต่อีกคาแร็คเตอร์หนึ่งมันจะดาร์กๆ นักเลงๆ หน่อยครับ ส่วนเรื่อง “The Eyes Diary” ในปี’57 นี้ คือ รับบทเป็น จอห์น ครับ ในเรื่องก็จะโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากครับ
Q.ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
A. อยากขอบคุณพี่มะเดี่ยวมากครับที่ให้โอกาสผมได้มาเล่นหนังแนว Romntic-Horror ที่พี่มะเดี่ยวกลับมาทำในรอบ 10 ปี คนอาจจะเห็นว่าตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาพี่มะเดี่ยวจะทำหนังดราม่า ตั้งแต่รักแห่งสยาม, Home หรือเกรียนฟิคชั่น มันก็มีดราม่าติดๆ อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วเขาทำหนังผีมาก่อนอย่างเรื่องคน ผี ปีศาจ, 13 เกมสยอง แล้วพี่เขาก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าหนังสยองขวัญที่เขาทำมันสยองแค่ไหน แล้วยิ่งพี่มะเดี่ยวมาให้โอกาสผม ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าประทับใจและยิ่งเป็นบทที่ท้าทาย เป็นบทที่ต้องเพิ่มระดับความโตของตัวเอง เพิ่มระดับอารมณ์ มันเหมือนเป็นงานชิ้นโบว์แดงของผมเลยนะ
Q.รู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นบทครั้งแรก
A. ตอนที่ได้รับบทมาผมก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่นะ พออ่านบทจอห์นก็รู้สึกถึงความท้าทาย เพราะจอห์นจะเป็นคนนิ่งๆ และก็โตกว่าผมมาก ตอนที่อ่านบทแล้วยังไม่ได้คุยกับพี่มะเดี่ยว ผมกับรู้สึกว่าจอห์นมันเป็นคนเก๊กๆ ทำเป็นเท่ไปวันๆ แต่พอมาได้คุยกับพี่มะเดี่ยวจึงรู้ว่าจริงๆ แล้วจอห์นเป็นคนนิ่งๆ นิ่งแบบรู้ความเป็นมาของการตายทุกอย่าง มันเลยเป็นตัวละครที่ซับพอร์ททุกคนเลย ฟังแล้วหล่อเลย(หัวเราะ) ก็จะเป็นคาแร็คเตอร์ที่เหมือนจะโตและผ่านอะไรมาพอสมควร
Q.คาแร็คเตอร์ของจอห์น
A.ในเรื่องจอห์นจะเป็นคนที่รู้เรื่องราวความเป็นไปทุกอย่าง จอห์นจะเป็นเพื่อนกับน็อต(ปั้นจั่น) ก็เป็นเพื่อนกู้ภัยด้วยกันมา ในเรื่องของการทำงานผมเป็นรุ่นพี่ของน็อต ซึ่งน็อตมาทำงานกู้ภัยเพราะต้องการที่จะมองเห็นสิ่งเร้นลับ และเขาก็จะเก็บสิ่งของของคนตายกลับบ้าน ซึ่งของคนตายมันมีเจ้าของอยู่แล้ว จอห์นก็รู้นะ แต่ก็ไม่ห้าม เพราะมันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้น็อตเห็นผีก็ได้ ก็จะอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ซึ่งก็เป็นไปสักระยะจนมันข้ามเส้นไปแล้ว จอห์นเลยเป็นคนที่พยายามห้ามน็อตไม่ให้ทำอะไรที่เลยเถิด
Q.เรื่องราวของ “The Eyes Diary”
A.เป็นเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน พี่ปั้นจั่นรับบทเป็นน็อต เมโกะรับบทเป็นมดตะ โฟกัสรับบทเป็นปลา แล้วก็มีเพื่อนมหาวิทยาลัยที่อยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้นอีก 3 คน ส่วนผมรับบทเป็นจอห์นเป็นเพื่อนกู้ภัยของน็อต สนิทกับน็อตที่สุด ก็มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่ไม่คาดฝันขึ้นมา ซึ่งมีเรื่องราวที่โดดเด่นคือน็อตเก็บของคนตาย สะสมของคนตายเข้ามาไว้ที่บ้านเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ในบ้านเกิดเรื่องราววุ่นวาย ซึ่งทำให้ทุกคนได้เห็นผี แต่จะเห็นผียังไงแบบไหนต้องติดตามในโรงครับ บอกก่อนเลยว่าต่างคนต่างเห็นผีไม่เหมือนกัน
Q.เสน่ห์ของหนังเรื่อง “The Eyes Diary”
A. ตั้งแต่ที่ผมอ่านบท ผมคิดว่ามันไม่เหมือนหนังผีทั่วไป หนังผีทั่วไปเขาต้องการขายแค่หลอก ขายแค่ความน่ากลัว แต่ว่าหนังของพี่มะเดี่ยวเรื่องนี้ทุกๆ อย่าง ทุกๆ เรื่องราวมันมีที่มา มันมีความเป็นมาว่าทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้ มันเล่าเรื่องว่าการตายของคนมันมีบ่วง มันมีอะไรที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่แบบนี้ คือหนังผีเรื่องอื่นจะเหมือนประมาณว่าคนตายไปแล้วเป็นผีมาหลอก แต่นี่ไม่ใช่ครับ ตายไปแล้วมันมีเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากนั้น การที่ผีจะออกมาแต่ละตัวมันไม่เหมือนกันเลย ผมว่ามันเลยคำว่าหลอกไปแล้วนะ ผีแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกันเลย ผมว่าเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ผี คือผีจังหวะของผีที่มาหลอก และการมีเรื่องราวของผี ซึ่งมันแตกต่างจากหนังผีเรื่องอื่นๆ เรียกว่าผีเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องเลยก็ได้ เพราะไม่ใช่แค่มาหลอก แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ผีเหมือนมีความคิดว่าเขาต้องการอะไร ผมว่าพี่มะเดี่ยวเขาคิดและดีไซน์ผีออกมาได้น่ากลัวมาก ผีแต่ละตัวจะมีลักษณะที่บ่งบอกสาเหตุการตายได้ อย่างผีผูกคอตายตัวจะอืดๆ ผีไฟไหม้ก็จะไม่มีผม ผิวไหม้ มีตะกอนเสื้อขาด ไม่มีลูกตา ฟันดำ ซึ่งพี่คิวพี่ทีมเอฟเฟกต์เขาสามารถแต่งผีได้เหมือนจริงและน่ากลัวมากๆ ครับ ซึ่งปริมาณของผีนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวครับ มันมีเป็นสิบเลย แล้วพี่มะเดี่ยวเขาสามารถจัดแจงผีว่าซีนนี้มากี่ตัว กี่ตัวจะพอดี หรือกี่ตัวเยอะเกินไป พี่มะเดี่ยวเก่งมากนะ คิดถึงขนาดผีฉากนี้ควรมากี่ตัว
Q.ความยากง่าย ความท้ายทาย
A.ความท้าทายอันดับแรกของผมเลยคือการร่วมงานกับนักแสดงพี่ปั้นจั่น โฟกัส หรือเมโกะ เขาได้รับรางวัลมาหมดเลย เขาได้รับรางวัลที่การันตีว่าเขาเป็นนักแสดงยอดเยี่ยมจริงๆ ซึ่งผมอาจจะเป็นรางวัลที่เล็กกว่า ผมก็ยกให้เขาเป็นนักแสดงที่ดี ผมว่ามันท้าทายตรงนี้ว่าแบบจะรับมือกับพวกเขายังไง ส่วนเรื่องที่ 2 คือบทที่ผมบอกไป ผมไม่เคยเล่นหนังผี ไม่เคยเล่นบทที่โตกว่าวัย อย่างที่ 3 คือพี่มะเดี่ยวครับ พี่มะเดี่ยวเขากลับมากำกับหนังผีในรอบ 10 ปี เขาก็มีไอเดียใหม่ความท้าทายของผมก็คือว่าจะรับมือกับพี่มะเดี่ยวยังไง ส่วนความยากง่าย ผมว่ายากนะครับ เล่นเป็นคนเห็นผี ผมไม่เคยเล่นก็เลยยาก
Q.ชอบฉากไหน ซีนไหนมากที่สุด
A.ถามว่าชอบฉากไหน ผมชอบทุกฉากเลยครับ ทุกคนทุ่มเทครับ ถามว่าเหนื่อยมั๊ย ผมว่าเหนื่อยมาก ขนาดผมไม่ค่อยได้เข้าฉาก ผมไม่ค่อยได้ทำงานตั้งแต่เช้ายันดึกยังเหนื่อยเลย แล้วยิ่งพี่ตากล้อง พี่ทีมไฟ พี่ทีมงาน เขาทำงานก่อนผม 1 ชั่วโมง เสร็จงานหลังผม 2 ชั่วโมง ผมประทับใจตรงนี้ครับ ซีนที่ผมคิดว่ามันพิเศษก็คือซีนที่ไปเจอผีด้วยกันทั้งหมด ถ่ายที่โรงพยาบาลร้าง เราถ่ายกันอยู่ที่ชั้น 4 ซีนนั้นมันเป็นซีนที่ต้องใช้ Drone (กล้องติดตั้งบนอุปกรณ์บังคับวิทยุคล้ายเครื่องบินบังคับลอยกลางอากาศเพื่อให้ได้มุมภาพที่ถ่ายจากบนท้องฟ้า) เพื่อให้ได้มุมภาพที่กว้าง มองเห็นตัวตึกร้างที่น่ากลัวมากๆ มองเห็นผีและก็เห็นพวกเราทั้ง 4 คน ซึ่งผมคิดว่ามันแปลกใหม่ ผมไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนทำแบบนี้ หนังไทยนะ แล้วยิ่งเป็นหนังผีด้วยเนี้ย ผมคิดว่ามันผสมผสานกันได้ดีมากเลย ผมมีโอกาสได้ดูเพลย์แบล็ค อยากบอกว่ามันสวยมากๆ
Q.มุมมองภาพเพิ่มระดับความหลอน สยองของหนัง
A.ผมเป็นคนดูหนังทุกประเภทอยู่แล้วครับ แล้วผมไม่คิดว่าจะมี Drone มาทำกับหนังผี ซึ่งผมมองว่ามันน่าสนใจ เพราะในแต่ละมุมของพี่มะเดี่ยวหรือในแต่ละภาพที่ออกมามันสวยมากครับ ผมว่ามันไม่ควรใช้กับหนังผีครับ แต่ว่าเขาสามารถเอามาใช้ได้ และทำได้ออกมาดีมาก น่ากลัวมากๆ แล้วยังมีมุมภาพจากสเตดิแคม ที่ให้ภาพหมือนกับให้ผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมกับนักแสดง หรืออารมณ์ของฉากนั้น ให้มันสัมผัสได้ลึกที่สุด และซึ่งการวิ่งหนีผี เขาใช้สเตดิแคมวิ่งตาม ผมว่ามันระทึกมา มันไม่ได้ตั้งกล้องเฉยๆ มันมีซ้าย-ขวา เหมือนคนจริงๆ ครับ มุมกล้องก็จะเหมือนเราวิ่งตามเขาไปด้วย
Q.เพิ่มดีกรีความหลอนจากสถานที่ถ่ายทำ
A.ตอนแรกที่ผมอ่านบท แล้วดูว่าโลเคชั่นไหนก็คิดว่าธรรมดานะ แต่พอมาดูสถานที่จริงๆ ตั้งแต่ในบ้าน ในโรงพยาบาล สถานที่เกิดเหตุมันมีความขลังของความเป็นมาในแต่ละซีน อย่างบ้านนี้ ไม่รู้เขาคิดได้ไงเอาบ้านกลางป่า แล้วไม่ใช่ป่าสวยๆ แต่เป็นป่ารกๆ มันทำให้อารมณ์บ้านดูน่ากลัว ดูวังเวง และบ้านที่คนตายแขวนคอ เป็นบ้านไม้ ผมคิดว่าถ้าเป็นบ้านไม้ก็เพิ่มความขลังอยู่แล้วนะ แล้วยิ่งอึดอัดอีก มันเป็นห้องที่เล็กแล้วอึดอัด ขนาดผมเข้าไปเฉยๆ ผมยังรู้สึกว่ามันน่ากลัว มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแทน ซึ่งโลเคชั่นพวกนี้ ผมรู้สึกว่ามันสุดยอด
Q.รับบทเป็นอาสากู้ภัยก็เลยได้มีโอกาสใส่ชุดกู้ภัยเก็บศพด้วย รู้สึกอย่างไร
A.ตอนที่ผมใส่ชุดหมีหรือชุดกู้ภัย วันฟิตติ้งผมยังรู้สึกธรรมดาๆ แต่พอได้มาเข้าฉาก ได้มาร่วมกับพี่มูลนิธิจริงๆ ขึ้นมา ผมรู้สึกว่าชุดมันขลังมาก แล้วยิ่งได้สัมผัสบนรถเขาด้วย คือผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่านะ เวลาผมหายใจเข้าไปผมรู้สึกว่ามันมีเรื่องราวมากมาย มันทำให้ผมอึดอัด คือมันมีบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมแบบนี้ มันทำให้ผมอึดอัด คิดว่าชุดนี้ไม่ใช่ชุดธรรมดาๆ มันต้องมีเรื่องราวผ่านมาแน่ๆ
Q.เมื่อรวมกับเสื้อผ้าหน้าผม สวมคาแรคเตอร์ เข้าสู่บรรยากาศของโลเกชั่นที่เหมือนจริงๆมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้าฉากที่ไปกู้ภัยเก็บศพ
A.จะเป็นซีนแรกๆ ของเรื่องเลย เราก็จะเป็นมูลนิธิที่มาเก็บศพ แล้วศพนี้เป็นศพที่เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์ถูกรถบรรทุกชนแล้วโดนลากไปกับพื้น ซึ่งมันก็มีไส้ มีเครื่องใน มีเลือด ซึ่งถ้าถามว่าเห็นในฉากแล้วเหมือนมั้ย ผมคิดว่าเหมือนนะ พี่ที่เป็นกู้ภัยก็บอกว่าเหมือน แต่ของจริงอาจจะยิ่งกว่านี้ แต่ผมว่าทำแค่นี้ก็สุดยอดแล้วครับ มันเหมือนจริงขนาดที่ชาวบ้านที่ขับรถผ่านมาจอดรถแล้วลงมาดู เพราะเขาคิดว่ามีอุบัติเหตุ มีคนตายจริงๆ
Q.เล่นหนังผีอย่าง The Eyes Diary เผชิญกับอุปสรรคอะไรในการถ่ายทำบ้างมั้ย
A.ก็มีอุปสรรคในการทำงาน เป็นฉากที่ต้องตกจากที่สูงครับ ซึ่งผมอยากเล่นเอง ผมบอกพี่มะเดี่ยวว่าผมอยากเล่นเอง ก็เล่นจนจนคอเคล็ดครับ วันต่อมาต้องเข้าฉากอีก คอขยับไม่ได้ก็ต้องฝืน ต้องใส่เฝือกเป็นที่รัดคอ ใส่ตลอดเวลาเลย แล้วก็ทายา ถึงขั้นไปหาหมอเลย จบจากซีนนั้นปุ๊บไปหาหมอเลย คือตอนแรกยังไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่พอต้องใช้คอมันก็รู้สึกปวดขึ้นมาก็เลยต้องไปหาหมอ รู้สึกวันนั้นจะโดนไป 4 เทคครับ คือ เอาจริง 3 ซ้อม 1
Q.เห็นว่าเป็นคนมีประสาทสัมผัสในเรื่องเร้นลับโดยเฉพาะประสบการณ์เห็นผี
A.ประสบการณ์เห็นผี ถามว่าเคยเห็นผีมั๊ย บอกเลยว่าไม่เคยครับ แต่ว่าเขามาทัก มาแบบเป็นเสียง เป็นรอย ซึ่งผมเจอทุกแบบเลย เหมือนเขามาทักครับ เป็นรอยมือตรงท้อง เป็นเสียงคนลากเก้าอี้อยู่หน้าโรงแรม ทั้งๆ ที่ตี 4 ครึ่ง ผมคิดว่าเป็นห้องข้างๆ เป็นทีมงาน วันรุ่งขึ้นผมก็ไปถามเขาว่าพี่นอนกี่โมง เขาบอกว่าตี 1 เขาก็นอนกันแล้ว ผมเลยคิดขึ้นมาว่าตี 4 ครึ่งนี่คืออะไร แล้วบรรยากาศยิ่งไปในฉากของโรงพยาบาลร้าง ผมรู้สึกแน่นๆ ผมคิดว่าผมมีเซ็นส์เรื่องนี้นิดๆ คือผมเข้าไปแล้วรู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยออก ผมเชื่อในตัวเองว่าถ้าหายใจไม่ค่อยออกต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งในเหตุการณ์
Q.เล่าเรื่องรอยนิ้วมือตรงท้องให้ฟังหน่อย
A.วันนั้นผมกลับมาจากถ่ายหนังเลิกประมาณตี 1 กว่าเกือบตี 2 ผมกลับมาผมจำได้เลยว่าไม่ได้อาบน้ำ ด้วยความเหนื่อยมาถึงผมก็นอนเลย พี่ปั้นจั่นก็นอนอยู่ข้างๆ พอตอนเช้าตื่นขึ้นมา เพราะมีคิวถ่าย ผมกำลังจะอาบน้ำ ถอดเสื้อปุ๊บส่องกระจกเห็นมีรอยมือตรงท้อง ผมตรงใจมากเพราะถ้าเป็นรอยนิ้วมือของผม คือผมต้องนอนทับท้องตัวเองและมันต้องมีรอยยับของเสื้อตรงท้องบ้าง ซึ่งข้างบนหน้าอกมีรอยเสื้อเต็มเลย แต่ตรงท้องไม่มี เป็นรอยมืออย่างเดียว และถ้าผมนอนคว่ำ ก็น่าจะมีรอยเสื้อมากกว่านี้ และถ้าผมเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ บริเวณหน้าอกก็ไม่น่าจะมีรอยเสื้อ ซึ่งผมคิดว่ามันประหลาดตรงนี้ครับ ถ้าถามผมว่ากลัวผีมั๊ย ผมเฉยๆ ครับ แต่ผมไม่ลบหลู่ คือตอนที่ผมมีรอยมือ รอยอะไรพวกนี้คนที่กลัวที่สุดคือพี่ปั้นจั่น ไม่ใช่ผม (หัวเราะ)
ยังมีอีกครับ วันนั้นเป็นวันที่พี่ทีมงานเขาบอกให้ยื้อเวลานอนให้นานที่สุดเพราะต้องถ่ายดึกถึงเช้าหลายวัน เขาเลยบอกให้นอนดึกที่สุดนะ เพื่อปรับเวลานอน โอเควันนั้นผมก็นั่งเล่นอยู่กับพี่ๆ ทีมงานกัน ตื่นเช้ามาผมมีรอยแดงที่คาง แล้วก็มีรอยบาดที่นิ้ว ตอนนั้นถ้าผมนอนเล่นบิงโกแล้วแล้วเท้าคาง ก็ไม่น่าจะใช่เพราะรอยแดงกับรอยที่เท้าคางมันห่างกันพอสมควร แล้วรอยนิ้วมือมาจากไหนไม่รู้ ซึ่งเป็นรอยบาด อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้น ตื่นขึ้นมามันไม่ใช่แห้งแล้วนะ มันเพิ่งเปียก มันเป็นแผลที่เพิ่งโดนบาด ซึ่งผมก็ช็อคอยู่กับเหตุการณ์นี้เหมือนกัน แล้วก็มีคืนสุดท้าย มาเป็นเสียง คือผมกลับมาจากถ่ายหนังตอนเช้าประมาณสักตี 5 หรือ 6 โมง ก็ได้ยินเสียง เสียงคนลากเก้าอี้กับกระเบื้อง ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเสียงของห้องตรงข้าม เสียงห้องข้างๆ และก็มีเสียงคนเดิน แล้วผมก็คิดได้ว่าห้องตรงข้ามมีแค่ทีมงานพี่เอ็ฟเฟ็คคนเดียว แล้วหลังจากนั้นมันไม่มีคนอยู่เลย ห้องแถวๆ นั้นจะว่างหมดเลย ผมก็เลยรอตอนเช้าว่ามีใครทำอะไรรึเปล่า ผมก็ถามพี่เอ็ฟเฟ็คตรงข้ามห้องผมบอกว่าประมาณตี 4 ตี 5 พี่ได้ลากเก้าอี้รึเปล่า ได้เดินหน้าห้องรึเปล่า พี่เขาบอกว่าตี 1 พี่เขาก็นอนแล้ว ผมก็เลยคิดในใจว่าแล้วเสียงที่ผมได้ยินมันคืออะไร
Q.เม้าส์เผาเพื่อนๆ ในกองหน่อย
A.ตอนที่ผมรู้ว่าใครเป็นนักแสดงเรื่องนี้นะ ผมคิดว่าเขาจะนิ่งๆ หมดเลย อย่างพี่ปั้นจั่นเขาจะเท่ๆอยู่แล้วตั้งแต่ nice to miss you ผมเห็นเขาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น โฟกัสก็ตั้งแต่แฟนฉัน ก็คงเป็นคนนิ่งๆ แล้วยิ่งเมโกะนี้ เขาเล่นหนังอินดี้ ผมเคยได้ดูหนัง mary is happy ผมคิดว่าเขาคงจะเป็นคนนิ่งๆ เพราะในหนังเขาเป็นคนติสท์ๆซึ่งมาเจอตัวจริงผิดคาดหมดเลย ทุกคนเป็นคนขี้เล่น เป็นคนเกรียน ถึงเวลาทำงานเขาเป็นคนจริงจังมากครับ มีสมาธิมาก แต่พอไม่ได้เข้าฉากเขาก็จะเล่นกัน ผมว่า 3 คนนี้เขามีทริกในการทำให้ตัวเองสดชื่นตลอดเวลา คนปกติเขาคงไม่มาขี่มอเตอร์ไซด์ตอนตี 3 ตี 4 ซึ่งพี่ปั้นจั่นก็มีทริกทำให้ตัวเองตื่นคือแกล้งคนอื่น แกล้งเหมือนเด็กเลย ผมไม่คิดว่าจะเป็นพี่ปั้นจั่นในร่างแบบนี้ ผมก็ถามเขาว่าทำไมทำแบบนี้ เขาก็บอกว่าต้องการตื่น เพราะเขาลากยาวมาตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง ตี 4 ตี 5 ผมก็คิดว่าเขาเก่งมากที่เขามีวิธีทำให้เขาตื่น ซึ่งโฟกัสalert ตลอดเวลาครับ หลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไปเขาจะเป็นคนสนุกๆ แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะนิ่งๆ เลย เขาบอกว่าเขาจะตื่นตอน 2 ทุ่ม เมโกะ อีกคนหนึ่ง ผมได้เห็นเขาตอนทำงานเขาเข้าฉากตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 4-5 ทุ่ม ต้องกรี๊ดตลอดเวลาเลยนะ ผมชื่นชมเขามาเลยนะในเรื่องความพยายาม ด้วยความเป็นหนังผีด้วย เพราะถ้าเป็นหนังปกติคงไม่มีใครมากกรี๊ด 4-5 ชั่วโมง