กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--วอเนอร์ บราเธอร์ส
จงปราศจากความกลัวเมื่อเผชิญหน้าศัตรู
จงพูดแต่ความจริง ถึงแม้จะนำไปสู่ความตาย จงปกป้องผู้อ่อนแอและละเว้นความชั่ว นั่นเป็นคำสาบานของเจ้า …”
ผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อต เป็นยอดฝีมือในการถ่ายทอดมหากาพย์สู่ภาพยนตร์ ด้วยแก่นแท้ส่วนตัวอันลึกล้ำ อย่างที่เขาเคยได้สร้างผลงานไว้ในภาพยนตร์อย่างเรื่อง Gladiator, Blade Runner, และ Black Hawk Down ในเรื่อง KINGDOM OF HEAVEN เขาหันไปหาสงครามครูเสด—การปะทะกันระหว่างชาวยุโรปและตะวันออกอันยาวนานถึง 200 ปีที่เปลี่ยนโลก—เพื่อเป็นกรอบให้กับเรื่องราวของหนุ่มน้อยชาวฝรั่งเศสที่ได้ค้นพบลิขิตชีวิตให้เป็นอัศวิน และต่อมาได้เรียนรู้ว่าเกียรติยศชื่อเสียงที่แท้จริงนั้นหมายถึงอะไร
ออแลนโด้ บลูมรับบทเป็น เบเลี่ยน ช่างตีเหล็กที่สูญเสียครอบครัวและเกือบสิ้นศรัทธา สงครามศาสนาที่ร้อนระอุในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะห่างไกลจากเขา แต่แล้วเขากลับถูกดึงเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นด้วย ท่ามกลางความเอิกเกริกและเสน่ห์ของเยรูซาเล็มยุคกลาง เขาตกหลุมรัก เติบใหญ่สู่ความเป็นผู้นำ และท้ายที่สุดได้ใช้ความกล้าหาญและทักษะทั้งมวลเพื่อปกป้องเมืองจากคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่าอย่างไม่อาจเทียบได้
ชะตาลิขิตตามหาเบเลี่ยนพบในการมาถึงของอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ ก็อดฟรีย์แห่งอิบีลิน (เลียม นีสัน) ทหารครูเสดที่กลับมาบ้านในฝรั่งเศสเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังการรบทางตะวันออก หลังจากเปิดเผยว่าตนเป็นบิดาของเบเลี่ยน ก็อดฟรีย์ก็ได้แสดงถึงความหมายที่แท้จริงของการเป็นอัศวิน และพาเขาเดินทางข้ามทวีปไปสู่นครศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีตัวตน
ในเยรูซาเล็มตอนนั้น—เป็นช่วงระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่สองและสาม—ช่วงแห่งสันติที่เปราะบาง ด้วยความพยายามของกษัตริย์คริสเตียนผู้รู้แจ้ง กษัตริย์บอลด์วินที่ 4 ด้วยความช่วยเหลือของไทบีเรียส (เจเรมี ไอออนส์) ที่ปรึกษา และการยับยั้งกองทัพของซาลาดิน (แกสแซน แมสซุด) ผู้นำชาวมุสลิมผู้เลื่องชื่อ แต่วันเวลาของบอลด์วินมีจำกัด และความบ้าคลั่ง ความโลภ และริษยาระหว่างพวกครูเสดก็กำลังจะทำให้การสงบศึกต้องสั่นคลอน
มุมมองของกษัตริย์บอลด์วินที่มีต่อความสันติ— “อาณาจักรแห่งสวรรค์”—มีอัศวินเพียงหยิบมือที่เห็นด้วย รวมทั้งก็อดฟรีย์แห่งอิบีลิน ซึ่งสาบานว่าจะยืนหยัดปกป้องด้วยชีวิตและเกียรติยศ เมื่อก็อดฟรีย์ส่งดาบอัศวินของเขาต่อให้กับบุตรชาย เขายังได้ส่งต่อคำสาบานอันศักสิทธิ์ : เพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ รักษาสันติ ทำให้เกิดความกลมเกลียวระหว่างศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อให้อาณาจักรแห่งสวรรค์เบ่งบานบนโลก
เบเลี่ยนรับดาบไว้และก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์
จากริดลีย์ สก็อต ยอดฝีมือแห่งตำนานสมัยใหม่ คือเรื่อง Kingdom of Heaven ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวมหากาพย์อันยิ่งยงของพวกครูเสด ผ่านสายตาของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในตำนานการดิ้นรนหาความเป็นเลิศ ด้วยการใช้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นฉากหลังให้กับเรื่องราวชีวิตอันละเอียดอ่อน สก็อตซึ่งเคยกำกับฯ ภาพยนตร์ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเรื่อง Gladiator ใส่เลือดเนื้อให้กับมนตร์ขลังของเรื่องราวเก่าแก่ของอัศวินพเนจร และนำการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างมุสลิมและคริสเตียนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนมาสู่ชีวิต และสะท้อนสู่ปัจจุบัน
ด้วยการทำงานร่วมกับสก็อต ผู้เขียนบท วิลเลียม โมนาแฮน ได้สร้างเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งช่วงสั้นๆ ก่อนสงครามครูเสดครั้งที่สาม เมื่อเยรูซาเล็มดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วใหญ่ถูกปกครองโดยพวกอัศวินชาวยุโรป ที่ถูกดึงดูดมาเป็นพวกครูเสดด้วยความคลั่งศาสนา และคำสัญญาที่จะได้ครองที่ดินและความมั่งคั่งในอาณาจักรต่างแดน เรื่องราวของพวกเขามีศูนย์กลางอยู่ที่อัศวินคนหนึ่ง เบเลี่ยนแห่งอิบีลิน ซึ่งกลายเป็นวีรบุรุษที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงท่ามกลางความไม่น่าไว้วางใจของพันธมิตรชาวคริสเตียน และนำผู้คนแห่งเยรูซาเล็มไปสู่การปกป้องอย่างกล้าหาญในการต่อสู้กับกองทัพซาราเซ็นของซาลาดิน
Kingdom of Heaven นำแสดงโดยออแลนโด้ บลูม (The Lord of the Rings trilogy) เป็นเบบเลี่ยน ซึ่งอาสาเข้าสู่การผจญภัยแห่งชีวิตเพื่อความเป็นธรรม, เลียม นีสัน (Schindler’s List, Gangs of New York) เป็น ก็อดฟรีย์ บิดาของเบเลี่ยน ซึ่งได้มอบมรดกให้กับเขาทั้งตำแหน่งบารอนและเกียรติยศอัศวิน การรวมดาราที่โดดเด่น ยังประกอบด้วย เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง เจเรมี ไอออนส์ (Reversal of Fortune) เป็นไทบีเรียส ที่ปรึกษาทางทหารของกษัตริย์บอลด์วิน ; เดวิด ธิวลิส (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban) เป็นอัศวินผู้พิทักษ์ ผู้แนะนำด้านจิตวิญญาณและผู้ช่วยเหลือด้านการรบของเบเลี่ยน ; และเบรนแดน กลีสัน (Troy) เป็นจอมกระหายเลือด เรย์นาลด์ เดอ ชาติลยง
ในเยรูซาเล็ม เบเลี่ยนตกหลุมรักเจ้าหญิงซิบิลล่า ขนิษฐาแห่งกษัตริย์บอลด์วิน รับบทโดย อีวา กรีน (The Dreamers) เธอเป็นภรรยาที่ไม่สมัครใจของบารอนกระหายอำนาจ กี เดอ ลูซินยง รับบทโดย มาร์ตัน โซคาส (The Bourne Supremacy) ดาราภาพยนตร์และผู้กำกับฯ ชาวซีเรีย แกสแซน แมสซุด (ภาพยนตร์ของแฮแธม แฮกกี้เรื่อง Memories of the Forthcoming Age) ยังรับบทเป็นซาลาดินนายพลซาราเซ็นผู้ยิ่งใหญ่
ภาพยนตร์อำนวยการบริหารโดยเจ้าของสองรางวัลตุ๊กตาทอง แบรนโก้ ลุสติค (Gladiator, Schindler’s List),ลิซ่า เอลเซย์ (In Her Shoes), และเทอรี่ นีดแฮม ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ ที่หนึ่งในหนังของริดลีย์ สก็อต อย่าง Black Hawk Down และ Gladiator ทีมงานครีเอทีฟหลังกล้องนำโดยผู้ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับฯ ชื่อดัง รวมทั้ง ผู้กำกับภาพ จอห์น แมเธียสสัน B.S.C. (ผู้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่อง Gladiator), ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ อาร์เธอร์ แม็กซ์ (เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง Gladiator), ผู้ลำดับภาพ โดดี้ ดอร์น A.C.E. (Matchstick Men), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจนตี้ แยทส์ (Gladiator), และผู้ประพันธ์เพลงประกอบ แฮร์รี่ เกรกสัน-วิลเลียมส์ (Man on Fire)
โด่งดังในเรื่องมุมมองภาพศิลป์ ตัวเอกเชิงซ้อน, และความเอาใจใส่อย่างลึกล้ำในรายละเอียด, ผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อตได้สร้างโลกมากมายที่ประทับในความทรงจำไว้บนจอภาพยนตร์ ตั้งแต่งานสร้างภาพยนตร์ไซไฟอย่าง Alien ไปจนถึงจินตนาการครั้งใหม่ของโรมยุคโบราณในเรื่อง Gladiator สก็อตได้ใคร่ครวญถึงเรื่องนิยายปรัมปราและตำนานของอัศวินและทุกอย่างที่เป็นการแสดงถึงคนที่เป็นส่วนที่ดีกว่าของสองทศวรรษ
“ผมอยากที่จะทำหนังเกี่ยวกับอัศวินและยุคกลางมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องของพวกครูเสด” สก็อตเล่า แรงกระตุ้นนั้นเป็นธรรมชาติ เมื่อนึกไปถึงพวกตัวละครที่เขาสนใจ ตัวเอกแรกเริ่มของสก็อตนั้นเป็นคนธรรมดาแม้ว่าจะเป็นชาย (หรือหญิง) ที่มีพรสวรรค์ ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่—ตัวละครที่ต้องผ่านความยากลำบากหรือโศกนาฏกรรมเพื่อจะกลายเป็นวีรบุรุษแท้จริง คนที่จะยืนหยัดหรือไม่ยอมละทิ้งไป (ลองนึกไปถึงแม็กซิมัส นายพลชาวโรมันที่กลายเป็นกบฎ ในเรื่อง Gladiator และเด็กการ์ด มือสังหารที่มีคุณธรรม ; หรือริปลีย์ของ Alien)
“ตามประวัติศาสตร์แล้ว อัศวิน—เช่นเดียวกับโคบาลหรือตำรวจ—เป็นตัวแทนของตนที่อยู่ในฐานะผู้นำในวัฒนธรรมของพวกเขาในช่วงเวลาจำเพาะ” สก็อตกล่าว “บุคคลตัวอย่างเหล่านี้มักจะทำให้เรามีโอกาสที่ดีในการได้เล่าเรื่องที่สื่อถึงวีรบุรุษ และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญสุดก็คือตัวละครจะมีความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ และความกล้าหาญในตัวของเขา”
ผู้เขียนบทภาพยนตร์โมนาแฮนเป็นผู้แนะนำเรื่องที่เน้นถึงเรื่องราวอาณาจักรแห่งเยรูซาเล็มในช่วงรัชสมัยของกษัตริย์บอลด์วินที่สี่และซาลาดิน และอัศวินหนุ่มที่กลายเป็นผู้ปกป้องเมืองให้กับสก็อต
“’อัศวินเป็นตัวแทนของความดีเลิศ” โมนาแฮนอธิบาย “และช่วงเวลาที่ของผู้ที่ทำให้รุ่งโรจน์ที่สุดก็คงจะเป็นพวกครูเสด” ด้วยคำร้องตะโกนว่า “พระเจ้าประสงค์เช่นนั้น!” โป๊บเออร์แบนที่สอง ในปี 1095 กระตุ้นให้ชาวคริสเตียนในยุโรปตื่นตัวที่จะกู้คืนเยรูซาเล็มดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกครอบครองโดยกองทัพมุสลิมที่กวาดล้างทำลายแถบตะวันออกกลางในช่วงศตวรรษที่ 7 คนหลายพันตอบรับการร้องขอนี้ ตั้งแต่กษัตริย์ไปจนถึงชาวบ้าน และคลื่นแห่งความสำเร็จของพวกครูเสดก็ลงหลักปักฐานทางซีกโลกตะวันออกในอีก 200 ปีต่อมา เข้าครอบครองนครโบราณ ตั้งอาณาจักร และบ่มเพาะเมล็ดพันธ์ความขัดแย้งทางศาสนาในอีกหลายศตวรรษที่จะมาถึง
เยรูซาเล็มได้ถูกยึดคืนมาในสงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง (มีสงครามครูเสดทั้งหมดรวมแปดครั้ง) และถูกปกครองโดยเจ้าชายคริสเตียนหลายรุ่นด้วยกัน แต่ในปี 1186—เมื่อเรื่องของเราเริ่มต้น—อาณาจักรเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และอำนาจที่ทวีขึ้นของซาลาดินก็คุกคามการรักษาเมืองมากขึ้นทุกที จะดำรงไว้ได้ก็ด้วยการเติมกองกำลังรุ่นใหม่จากยุโรป ข้ารับใช้ของกษัตริย์อย่างก็อดฟรีย์อาจเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเสาะหานักสู้รุ่นใหม่สำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าก็อดฟรีย์ยังมีภารกิจอื่นอีกด้วย
เรื่องราวเน้นถึงช่างตีเหล็กหนุ่มที่ชื่อว่า เบเลี่ยน ซึ่งมีพรสวรรค์ที่มากกว่าการดีเหล็ก “เบเลี่ยนเป็นช่างก่อสร้าง เป็นวิศวกร” ออแลนโด้ บลูมกล่าว ผู้ที่บทบาทของเขาในเรื่อง The Lord of the Rings ไตรภาค, Pirates of the Caribbean และ Troy ได้ทำให้นักแสดงหนุ่มกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ “เขามีความสามารถที่จะมองดูปราสาทและเข้าใจว่ามันจะถูกป้องกันไว้อย่างดีได้อย่างไร ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเขาภายหลังในการเดินทาง”
เมื่อเรื่องเริ่มต้น เบเลี่ยนกำลังหมดหวัง แต่บลูมเรียกมันว่าเป็น “สภาวะการถูกทำลาย เขาสูญเสียเมีย เขาสูญเสียลูก เราได้พบกับชายที่กำลังตกนรก”
ในช่วงนี้เองที่อัศวินปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับสหายร่วมสงครามของเขา เลียม นีสัน แสดงเป็น ก็อดฟรีย์แห่งอิบีลิน ซึ่งจากฝรั่งเศสไปเพื่อเป็นพวกครูเสด และความกล้าหาญและซื่อสัตย์ของเขาทำให้เขามีตำแหน่งใกล้ชิดกับกษัตริย์บอลด์วิน “ตอนที่พวกครูเสดเหล่านี้ยึดครองเยรูซาเล็ม พวกเขากลายเป็นคนที่มีอำนาจมาก” นีสันเล่า “พวกเขาได้รับกรรมสิทธิที่ดินผืนใหญ่ๆ พวกเขากลายเป็นเหมือนมีอาณาจักรเล็กๆ เป็นของตนเอง ก็อดฟรีย์เป็นหัวหน้าและนายทหาร และเขาได้รับที่ดินผืนใหญ่นอกเมืองเยรูซาเล็ม”
ก็อดฟรีย์กลับมาฝรั่งเศสเพื่อตามหาลูกชายของเขา “เขารู้ว่าเขามีลูกชาย” นีสันบอก “เขาไม่เคยพบกับลูกชายเพราะว่าเบเลี่ยนเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีกับแม่ของเบเลี่ยน แต่ก็อดฟรีย์กลับมาเพื่อหาเบเลี่ยนและขอให้เขาไปยังเยรูซาเล็ม”
“เขาไม่ได้เสนอที่ดินให้” บลูมกล่าว “เขาไม่ได้เสนอเงินทองให้ เขาเสนอครอบครัว เขาเสนอโอกาสที่จะได้เป็นลูกชายเขา ทำงานให้เขาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
แม้ว่าในตอนแรกเบเลี่ยนปฏิเสธก็อดฟรีย์ สถานการณ์ทำให้เขาไม่มีทางเลือกแต่ต้องร่วมทางไปกับบิดา “เบเลี่ยนไม่มีทางไป” บลูมอธิบาย “ความตั้งใจอย่างเดียวของเขากับการเดินทางไปด้วยคือเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามข้อใหญ่ๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขา เขาเป็นายหนุ่มในการเดินทางของจิตวิญญาณ ความเป็นตัวเอง และการเติบโตทางการเมือง พยายามที่จะเข้าใจชีวิตคืออะไร เขาแสวงหาการให้อภัยและความเข้าใจ เขาจึงตามไปเจอกับก็อดฟรีย์และเดินทางไปด้วยกัน”
ก็อดฟรีย์ร่วมเดินทางกับอัศวินคนอื่นๆ พวกทหารรับจ้าง และผู้พิทักษ์ ที่เป็นผู้รับฟังการสารภาพผิด ที่รับบทโดยเดวิด ธิวลิส “พวกผู้พิทักษ์ถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 11” ธิวลิสกล่าว “พวกเขาเป็นบาทหลวงที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของพวกแสวงบุญชาวคริสเตียนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าผู้พิทักษ์จะสามารถเป็นนักสู้ได้ด้วย แต่พวกเขารักความสงบ”
ธิวลิสกล่าวว่าก็อดฟรีย์มีปัญหา “เขามีความเศร้าโศกที่ดำมืดอยู่ในตัวเขา แต่ได้พบทางไถ่บาปบางอย่างในช่วงสุดท้ายของชีวิตเมื่อเขาพบตัวเบเลี่ยน เขาได้ค้นพบความรักอีกครั้งในตัวของเขา ความอบอุ่น ที่ได้เห็นสายเลือดของเขาสืบทอดผ่านไปยังเบเลี่ยนสำหรับอนาคต ”
ในการโจมตีระหว่างการเดินทาง ก็อดฟรีย์ได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิตในการต่อสู้ การกระทำสุดท้ายเพื่อไถ่บาปก่อนตาย ก็อดฟรีย์แต่งตั้งลูกชายเป็นอัศวิน ส่งมอบภารกิจรักษาความสงบในเยรูซาเล็ม “ผมพยายามชักจูงให้เขาไปยังเยรูซาเล็ม—ว่ามีหนทางข้างหน้าสำหรับพวกเราทุกคน คริสเตียน มุสลิม ให้มาร่วมกันและก้าวสู่ความศิวิไลส์ร่วมกัน” นีสันกล่าว “ก็อดฟรีย์ได้สำนึกว่าหลังจากที่เวลาล่วงไปหลายต่อหลายปี มันไม่มีเหตุผลที่จะฆ่ากัน”
ผู้พิทักษ์กลายมาเป็นสหายและผู้ให้คำปรึกษาของเบเลี่ยนหลังจากการตายของก็อดฟรีย์ “เขานำเสนอคำถามหลายๆ ข้อให้กับเบเลี่ยนเพื่อหาคำตอบ” สก็อตเล่า “เขาใช้คำว่า ‘การกระทำที่ถูกต้อง’—ทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นอะไร นั่นเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าพระเจ้ากำลังมองหา และที่เหลือคือความโง่เขลา เราไม่จำเป็นต้องได้ยินเสียง เราไม่ต้องคุกเข่า มันคือการกระทำที่ถูกต้อง ”
ในเยรูซาเล็ม เบเลี่ยนได้พบกับตัวละครอีกหลายตัวที่อธิบายถึงเมืองในเวลานั้น ในตอนแรกเขาได้พบกับขนิษฐาของกษัตริย์ เจ้าหญิงซิบิลล่าผู้ทรงพระโฉม (อีวา กรีน) ซึ่งถูกจับแต่งงานกับ กี เดอ ลูซินยง (มาร์ตัน โซคาส) “เธอเป็นคนมีเสน่ห์” นักแสดงหน้าใหม่ อีวา กรีนอธิบาย เธอมีผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกกับหนังของเบอร์นาโด เบอร์โตลุคชี่ เรื่อง The Dreamers “เธอใช้ทั้งชีวิตอยู่ในเยรูซาเล็ม เติบโตมากับพวกคริสเตียน ยิว และมุสลิม แต่เธอมีชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างถูกกดดัน แม่ของเธอจับเธอแต่งงานอย่างที่ตนเองพอใจ เธอเกลียดชังสามีตนเอง ; เธอไม่นับถือคุณค่าหรือการแสวงหาอำนาจของเขา ซิบิลล่าและเบเลี่ยนถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าจะมีความยุ่งยากทางการเมือง “เบเลี่ยนไม่ได้แสวงหาความรัก”บลูมกล่าว “แต่เขาถลำใจตกหลุมรัก เพราะว่าซิบิลล่าเป็นอะไรที่แปลกแตกต่างสำหรับเขา มันเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ล้ำลึก บางสิ่งที่เขาโหยหาแต่ก็ไม่เต็มใจที่จะตกลงไป การได้พบหญิงสาวผู้นี้ได้จุดไฟแห่งความหวังให้เขา”
กรีนเชื่อว่าซิบิลล่าได้พบกับที่หลบภัยในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเบเลี่ยน และเขาก็เช่นกัน “ในตอนเริ่มต้นเบเลี่ยนอยู่ในช่วงของการไว้ทุกข์” เธอบอก “เขาสับสนเกี่ยวกับชีวิต กับชะตาชีวิต และซิบิลล่าเป็นสุดของปลายอีกด้านหนึ่ง เธอต้องการใครสักคนที่ดีในชีวิต เธอต้องการความกลมกลืน เมื่อทั้งคู่พบกันมีความสนใจอย่างมากให้กัน เขาบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ เป็นผู้ดี เขาเป็นคนที่ดีเลิศสำหรับเธอ”
ซิบิลล่ายังมีความกลัวอย่างมากสำหรับบอลด์วินพระเชษฐาของเธอ “เธอไม่อาจเผชิญความจริงว่าเขากำลังจะตาย” กรีนกล่าว “เขาเป็นคนเดียวที่เธอไว้วางใจได้”
กษัตริย์บอลด์วินที่สี่ มีชื่อเดียวกับองค์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ เป็นคนดีและเคราะห์ร้ายที่ต้องสิ้นพระชนม์แต่หนุ่มด้วยโรคเรื้อน; โรคได้ก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่พระองค์ต้องซ่อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากเงิน “บอลด์วินแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างเหลือเชื่อ แต่พระองค์อ่อนกำลังลงด้วยโรคเรื้อนและความตายก็ใกล้เข้ามาทุกที” สก็อตเล่า
เมื่อครั้งที่ได้พบกัน บอลด์วินบอกกับเบเลี่ยนอย่างชัดเจนว่า ในฐานะนายคนใหม่ของอิบีลิน เขาจะต้องสานต่อภารกิจของบิดาในการปกบ้องแส้นทางแห่งเยรูซาเล็มเพื่อให้มันเปิดกว้างสำหรับผู้แสวงบุญทุกศาสนา “ต้อนรับทุกคน” บลูมกล่าว “ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องดี แต่เป็นเพราะมันถูกต้อง ”
เบเลี่ยนยังได้พบกับไทบีเรียส ที่ปรึกษาทางทหารผู้ชาญฉลาดและทรหดของกษัตริย์ รับบทโดยเจเรมี่ ไอออนส์ “เขาเป็นจอมพลแห่งกองทัพเยรูซาเล็ม” ไอออนส์อธิบาย “เจ้านายของเขา กษัตริย์บอลด์วิน เป็นโรคเรื้อน ซึ่งอยู่ในขั้นรุนแรง และด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถบัญชาการอาณาจักรอย่างที่ใจปรารถนาได้ จึงมอบภาระส่วนใหญ่ไว้ในมือของไทบีเรียส”
ไทบีเรียสทำให้เบเลี่ยนรู้ว่าความสงบที่มีอยู่ภายใต้การมีอยู่ของเยรูซาเล็มนั้น คือการที่อาณาจักรถูกห้อมล้อมไปด้วยกองกำลังทหารของซาลาดินจำนวน 200,000 นาย ไอออนส์กล่าวว่าไทบีเรียสมีความนับถือให้กับชาวมุสลิมมากเท่ากับที่มีให้กับชาวคริสเตียน และเขาคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องคอยเตือนให้ผู้คนนับถือซึ่งกันและกัน “เขาเป็นคนที่มาถึงปลายทางของอาชีพ ที่เบื่อหน่ายการต่อสู้และความประพฤติโง่เขลาที่ล้อมรอบเขาในเยรูซาเล็ม”
การพักรบชั่วคราวระหว่างบอลด์วินและซาลาดิน (แกสแซน แมสซุด) กำลังถูกข่มขู่ด้วยการก่อกบฎภายในอาณาจักร “ขบวนการที่ซับซ้อนเดินเรียงแถวเข้ามาในเยรูซาเล็ม ส่วนใหญ่แล้วทำเพื่อตนเอง” สก็อตกล่าว ความวุ่นวาย การเมืองฝ่ายตรงข้าม และการโกงกินที่มากขึ้น “ทุกอย่างได้รับการถ่วงดุลย์อย่างละเอียดอ่อนโดยกษัตริย์บอลด์วินและไทบีเรียส ” เขากล่าวเสริม “คนอื่นๆ ต่างผลักดันซึ่งกันและกันด้วยความต้องการของตัวเอง”
ซาลาดิน ผู้นำเสน่ห์แรงของพวกซาราเซ็น รับบทโดยนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ชาวซีเรีย แกสแซน แมสซุด เขาเองเคยกำกับฯ เรื่อง The Diplomats, ละครเสียดสีที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับปัญหาการเป็นผู้นำในโลกอาหรับ แมสซุดมองว่า ข้อที่หนึ่งซาลาดินเป็นนักการเมืองที่ยอดเยี่ยม “และข้อสองเขาเป็นบุรุษแห่งสงคราม” นักแสดงชายกล่าว “ซาลาดินเป็นผู้ชนะในหลายสงคราม ในขณะเดียวกันเขาก็ยอมเจรจากับศัตรู มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากของผู้นำในเวลานั้น เขามีบุคลิกที่มีเสน่ห์มากแต่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์ อ่อนหวานจากภายใน เขาเชื่อในการเจรจากับศัตรู ”
“ซาลาดินเป็นที่ยำเกรงในฐานะผู้นำชาวมุสลิม เป็นนักการเมือง สุภาพบุรุษ และผู้เชี่ยวชาญกลยุทธชั้นสูง” สก็อตเสริม “และไม่ใช่เพียงแต่ชาวซาราเซ็นเท่านั้นที่เทิดทูนเขา เขายังได้รับความนับถืออย่างมากจากฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ” แมสซุดกล่าวเสริม “เบเลี่ยนและซาลาดินให้ความนับถือซึ่งกันและกันในเรื่อง”
กี เดอ ลูซินยง สามีของซิบิลล่า เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเหล่าอัศซินเทมพลาร์ ที่เป็นกองทัพศาสนา “พวกเทมพลาร์เป็นก๊กใหญ่ที่ไม่ต้องการมีสัมพันธภาพกับพวกมุสลิม” สก็อตอธิบาย “พวกเขาไม่ต้องการสันติ”
“กีเป็นแม่ทัพในกองทัพแห่งเยรูซาเล็ม” มาร์ตัน โซคาส นักแสดงที่รับบทเขากล่าว “เท่าที่กีรู้ กษัตริย์ไม่เหมาะสม เพราะกีเป็นทหาร เขาต้องการออกไปรบ ไม่เช่นนั้นก็เพื่อเป็นการกีฬา แน่นอนว่าเพื่อพลังความสำเร็จของเขาจะเป็นชัยชนะ เขาเป็นนักล่าผู้มีชื่อเสียง ความกระหายพลังของเขานั้นมหาศาล เขาช่างตรงข้ามกับเบเลี่ยนอย่างมากมาย”
กียังรักซิบิลล่าแม้ว่าเธอจะเกลียดชังเขา “เขาเคว้งคว้าง ทั้งด้านการเมือง—เพราะพวกเขาไม่ได้รวมใจเป็นหนึ่ง—และชีวิตส่วนตัว เพราะเขาขาดในสิ่งที่เราทุกคนต้องการ ซึ่งก็คือความรักและการจัดการในครอบครัว” โซแคสกล่าว
คู่หูที่ร้ายกาจและสุดบ้าคลั่งของกี ก็คือเรย์นาลด์ เดอ ชาติลยง ซึ่งมีที่มั่นอยู่ที่เคแร็ก (ซากที่เหลือของมันยังคงมีให้เห็นอยู่ ในจอร์แดนปัจจุบัน ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 50 ไมล์) “เรย์นาลด์สนุกสนานกับการทำร้ายผู้อื่น” เบรนแดน กลีสันกล่าว “เขาเป็นคนผูกพยาบาทและโหดเหี้ยม แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความคิดที่บ้าคลั่งของอัศวิน ในทางหนึ่งเขาเป็นทุกอย่างที่ไม่ถูกต้องของการเป็นพวกครูเสด มีพวกที่ทำให้ครูเสดกลายเป็นทฤษฎีแห่งความสุขสบายแห่งอาณาจักรที่บ้าอำนาจ ทุกอย่างที่เรย์นาลด์ทำนั้นถูกผลักดันด้วยความโลภและตัณหา”
ด้วยความบุ่มบ่ามและแรงกระตุ้นให้สร้างความวุ่นวายและเข้าครอบครองของพวกเขา กีและเรย์นาลด์กระทำในสิ่งที่จะกลายเป็นลูกโซ่ที่จะนำเยรูซาเล็มไปสู่สงครามอย่างเลี่ยงไม่ได้กับพวกซาราเซ็น ขณะที่ใกล้จะสิ้นสุดยุคของกษัตริย์บอลด์วิน เรย์นาลด์ยิ่งกว่ายินดีที่จะทำตามแผนการของกีที่จะได้มาซึ่งอำนาจ จุดแตกหักมาถึงเมื่อกีสังหารคนส่งสารซาราเซ็นอย่างเลือดเย็น “นั่นเป็นเหมือนจุดจบ ไม่ใช่สำหรับกีแต่ทุกอย่างที่บอลด์วินและซาลาดินได้พยายามรักษาเอาไว้ ซึ่งเป็นหลายฝ่ายและการอดกลั้นของคนหมู่มาก” โซแคสกล่าว “เขาได้อย่างที่ต้องการ และผลที่ตามมาด้วย”
การกระทำที่โง่เขลาครั้งสุดท้ายของกีคือการนำกองทัพแห่งเยรูซาเล็มออกไปจากเมืองและเผชิญกับกองกำลังที่เหนือกว่าอย่างมหาศาลของซาลาดินในสงครามที่แฮตติน ที่ซึ่งบรรดาอัศวินคริสเตียนถูกบดขยี้ เราจะไม่ได้เห็นการรบนี้เนื่องจากไคลแม็กซ์ของเรื่องจะเกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อซาลาดินนำกองทัพของเขามาประชิดกำแพงของเยรูซาเล็ม ด้วยความซื่อสัตย์ต่อกฎของอัศวิน เบเลี่ยนรับหน้าที่ปกป้องเมืองด้วยตัวเอง โดยใช้ความสามารถในการเป็นผู้นำและวิศวกร แปลงเมืองให้เป็นป้อมปราการ ท้ายที่สุดมันเป็นสงครามที่เขาไม่อาจชนะ ด้วยนักรบเพียงจำนวนน้อยนิดต่อกองทัพทรงพลังจำนาย 200,000 แต่เขาชนะในการรวมใจผู้ปกป้องและต่อรองการเอาชีวิตรอดให้กับพวกเขา “ก่อนหน้านั้น” วิลเลียม โมนาแฮน ผู้เขียนบทเล่าว่า “ผู้ปกป้องในเยรูซาเล็มอยู่ในสภาวะแตกสามัคคี และพวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูที่สามัคคีอย่างเข้มแข็ง”
“บอลด์วินและซาลาดินจะรักษาสันติหากว่าเป็นพวกเขา” ออแลนโด้ บลูมกล่าว “หากมันไม่ได้เป็นพวกบ้าคลั่งอย่างเรย์นาลด์ และกี เดอลูซินยง ซึ่งกระหายเลือดและอำนาจทั้งคู่ เยรูซาเล็มก็คงจะเป็นที่ซึ่งผู้คนมาสักการะ เป็นที่แห่งสันติ การยอมรับนับถือซึ่งกันและกันในความเชื่อและการปฏิบัติของอีกฝ่าย อะไรก็ตามที่น่าจะเป็น” เบเลี่ยนเป็นคนที่รับตำแหน่งอัศวินด้วยน้ำหนักที่คนอื่นๆ ไม่เคยทำ โมนาแฮนชี้ให้เห็น “เราตัดสินคนจากการกระทำ—ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่สิ่งที่กล่าวอ้าง แต่จากสิ่งที่ทำ” เขากล่าว “ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากกฎของการเป็นอัศวิน อย่างที่ริดลีย์พูดไว้ว่าหนังเป็นเรื่องของการใช้สมองและหัวใจ”
“อาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ใช่อย่างที่เราคาดหวังไว้” บลูเสริม “มันไม่ใช่ชีวิตหลังความตาย มันเป็นที่ๆ เราอยู่ในฐานะที่เกิดมา ที่ๆ เป็นตัวเราจริงๆ ได้ อาณาจักรแห่งคุณธรรม อาณาจักรแห่งสติปัญญา อาณาจักรแห่งความหวังและความสามัคคี เป็นสิ่งดีเลิศของโลกที่เราใฝ่หา โลกแห่งสันติ”--จบ--